สาระน่ารู้

Superfoodddddd !!!


       สวัสดีครับ วันนี้Admin ขอแนะนำข้อมูลดีๆจากเพจเพจหนึ่ง เกี่ยวกับอาหาร ที่อัดแน่นด้วยประโยชน์ จนหลายๆคนเรียกอาหารเหล่านี้ว่า Superfood !!! ซึ่ง Admin จะแนะนำตั้งแต่ระดับ inter ที่หาทานง่ายๆในบ้านเราเลยนะครับ มาดูกันเลยว่ามีอะไรบ้าง



















ท้ายนี้ Admin ก็ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จากเพจ jonessalad thailand โดยผู้ที่สนใจจะหาข้อมูลเพิ่ม Adminจะแนบลิ้งไว้ท้ายนี้เลยนะครับhttps://www.facebook.com/JonesSaladThailand/posts/1946886795546806


/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////


งู ?  รู้ทันและระวังในช่วงน้ำท่วม






      ซึ่งในขณะนี้หลายจังหวัดในภาคใต้ประสบปัญหาน้ำท่วม แอดมินมีความเป็นห่วงว่างูชนิดไหนชอบย่องเข้าไปในบ้านจึงได้หารูปภาพพร้อมจำแนกให้ประชาชนคนดูได้เข้าใจและระมัดระวังว่างูชนิดไหนไม่มีพิษและมีพิษอัตรายมากน้อยเท่าไร ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความปลอดภัยแก่คนใกล้ชิดและบุตรหลานของท่าน    ..........ด้วยความปรารถนาดี จากร้อยปจว.4 ขอฝากไว้ด้วยคับ  >.<
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////\
การออกกำลังกายแต่ละแบบ........เลือกเอาถนัดสายไหน?
ออกกำลังกายมีหลายแบบ จริงๆแล้วออกให้ครบทุกแบบอ่ะจะดีที่สุด...
แต่สำหรับคนไม่มีเวลา ....จะให้ออกครบทุกรูปแบบ หนักหน่วงทุกอย่าง ก็คงจะไม่ไหว
อย่างไรก็ตาม การออกกำลังกายในแต่ละรูปแบบ นั้น เน้นให้ผลดีต่อร่างกายในมุมที่แตกต่างกันไป เราจึงอาจต้องเลือกออกกำลังกายในรูปแบบที่เป็นไปตามเป้าหมายของเรามากหน่อย
                                            ----- ลองดูตามรูปด้านล่างนี้ได้เลยครับ-----
ขอขอบคุณ คุณ Jones salad  เจ้าของเคดิต

ปล. พวกกีฬาแบบ เตะบอล บาสเก็ตบอล ตีแบท จะเน้นไปเป็นการออกในรูปแบบ คาร์ดิโอ นะครับ.

                         ////////////////////////////////////////////////////////////
กินไข่...ต้านโรค
ไข่ไก่ เป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เต็มไปด้วยสารอาหารที่ร่างกายต้องการ ในไข่ไก่ 1 ฟอง น้ำหนักเฉลี่ยประมาณ 50 กรัม จะให้พลังงานประมาณ 75-80 แคลอรี มีโปรตีนสูงถึง 7 กรัม
ไข่ขาว มีน้ำหนักประมาณ 2 ใน 3 ของไข่ทั้งฟอง ประกอบไปด้วยโปรตีนคุณภาพสูง ประมาณร้อยละ 12 มีสาระสำคัญที่เป็นองค์ประกอบของโปรตีนที่อุดมไปด้วยกรดอะมิโน 8 ชนิด ที่จำเป็นต่อร่างกาย
ไข่แดง มีน้ำหนักประมาณ 1 ใน 3 ของน้ำหนักไข่ ประกอบไปด้วยโปรตีน ไขมัน วิตามิน และแร่ธาตุที่สำคัญ สำหรับไขมันที่มีอยู่ค่อนข้างมากในไข่แดงนั้น เป็นไขมันประเภทอิ่มตัว รวมถึงโอเมก้า-3 ที่ช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด ซึ่งมีคุณค่าเหมือนไขมันในปลาแซลมอน และปลาทะเล
ด้วยความเข้าใจที่ว่าในไข่ไก่นั้นมีคอเลสเตอรอลค่อนข้างสูง โดยในไข่ 1 ฟอง มีปริมาณคอเลสเตอรอลประมาณ 213 มิลลิกรัม ซึ่งอาจมีผลต่อการเพิ่มปริมาณคอเลสเตอรอลในเลือดได้ แต่การวิจัยเกี่ยวกับเรื่องไขมันและคอเลสเตอรอลในไข่ไก่ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน สามารถพูดได้อย่างแน่ชัดแล้วว่า ไขมัน และคอเลสเตอรอลในไข่ไก่มีผลเสียต่อผู้บริโภคน้อยมากเมื่อเทียบกับไขมันจากแหล่งอื่นๆ
นอกจากนี้ โปรตีนที่มีปริมาณสูงในไข่ไก่ สารอาหารจำพวกไขมัน และคอเลสเตอรอล ไม่ได้เป็นสาเหตุและความเชื่อมโยงใดๆ ต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด เมื่อรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม ที่สำคัญไข่ไก่ 1ฟอง ยังมีวิตามินและแร่ธาตุหลากหลาย อาทิ วิตามินเอ วิตามินบี1 บี2 บี6 วิตามินดี โคลีน อิโนซิทอล แคลเซียม ฟอสฟอรัส และโปแตสเซียม เป็นต้น โดยในส่วนของโคลีน ที่พบในไข่นั้น เป็นส่วนประกอบในสารทีเรียกว่า เลซิตินโดยปัจจุบันพบว่าสารเลซิตินนี้เป็นที่นิยมของผู้บริโภค ที่มักรับประทานในรูปอาหารเสริมสุขภาพ ช่วยบำรุงสมอง และป้องกันภาวะความผิดปกติของระบบประสาท

สรุปเลยว่า ไข่ไก่เป็นของดี ราคาถูก คุณประโยชน์มาก แบบนี้...ไม่ทานไม่ได้แล้ว
///////////////////////////////////////////////////////////////////
วิธีการคลายเครียด
การคลายเครียด มีความจำเป็นเพราะความเครียดสามารถเกิดขึ้นทุกวัยแต่จะเน้นหนักไปที่วัยทำ งานเสียมากกว่า เพราะว่ามักจะเจอเรื่องเครียดๆ กันอยู่ประจำ จึงมีโอกาสที่จะพบภาวะความเครียดที่เกิดขึ้นได้มากกว่าวัยอื่นๆ ด้วยปัจจุบันหลายอย่าง  ซึ่งก่อให้เกิดโรคภัยต่างๆที่เกิดขึ้นกับร่างกายมากมาย อย่างเช่นปัญหาทางด้านระบบทางเดินอาหาร  โรคหัวใจและหลอดเลือด  นอนไม่ค่อยหลับ อ้วน โรคทางผิวหนัง โรคซึมเศร้าและโรคอื่นๆ ตามา จะทำให้ร่างกายอ่อนแอเจ็บป่วย ดังนั้นจึงขอเสนอแนวทางสำหรับคลายเครียดให้กับ คนที่ทำงานกันหนัก เพื่อจะได้เป็นประโยชน์ต่อร่างกายของเราได้
สำหรับการคลายเครียดวิธีต่างๆ ที่จะนำเสนอต่อไปนี้แล้วแต่ความเหมาะสมสำหรับคนที่การได้หลากหลายวิธี
อาหารคลายเครียด
สำหรับอาหารที่ใช้คลายเครียด เกิดจากนักวิจัยได้ทำการศึกษาอาหารต่างๆที่สามารถคลายเครียดได้ และเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ไม่ยากจะช่วยให้ระบบความเครียดของเรานั้นลดลงได้
สาหร่าย สาหร่ายมีแมกนีเซียมสามารถที่จะลดความเครียดได้ ลดอาการของคนชอบวิตกกังวลอยู่บ่อยครั้ง
แคนตาลูป แคนตาลูปนั้นมีความมันและมีวิตามินซี สามารถที่จะต่อสู้กับความเครียดที่เกิดได้และก็ยังมีผลไม้อื่นๆ ที่มีวิตามินซีและมันให้กินแก้เครียดได้ด้วย อย่างเช่น มะละกอ บ้านเรา
บลูเบอร์รี่ เต็มไปด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ต่อต้านความเครียดได้เช่นกัน ซึ่งมีผลไม้อื่นที่มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระได้เช่นกัน
อัลมอนด์ สามที่จะลดความเครียด ด้วยวิตามินบี 2
ผักชนิดอื่นๆ สามารถที่จะทานคลายเครียดได้เกือบทั้งหมดเลยล่ะ มีพวกถั่ว เมล็ดต่างๆของพืช  เช่น  ทานตะวัน ฟักทองเป็นต้น
การบริหารร่างกายและพฤติกรรม
พยายามนวดบริเวณ ขอบตา ขมับ ท้ายทอยทั้งนวดและกดบริเวณดังกล่าวบ่อยๆ กดครั้งละ 5- 10 วินาที จะทำให้รู้สึกผ่อนคลายความเครียดได้มาก
ดูหนังฟังเพลง จะช่วยให้คลายความเครียดได้มาหนังที่เราชอบดู  เพลงที่เราชอบฟัง
หายในลึกๆ แล้วปล่อยออกมาช้าๆ ก็จะช่วยให้ผ่อนคลายได้เช่นกัน
ใช้เวลาในการพบปะเพื่อฝูงญาติพี่น้องต่างๆ เข้าหาสังคม
สิ่งที่ใกล้บริเวณความเครียดหรือว่าคนที่เราทำให้เครียด มีคนบอกว่าความเครียดเกิดจากเราได้พบปัญหาหลายสิ่งที่ไม่พอใจ อย่างเช่นการได้ยินคนติชิน นินทาเรา
ทำงานท่าเราชอบ เป็นงานอดิเลกที่เราทำแล้วเกิดความเพลินใจ
หากเราอยู่ในที่ทำงานทั้งวักเกิดโอกาสให้เราพักผ่อนสมองอย่างเช่น  การเดินไปรอบๆ จะช่วยให้เราได้ออกกำลังกายด้วยส่งผลต่อความเครียดที่เรามีอยู่ลดลงได้
ทำสมาธิ การที่เรานั่งสมาธิจะทำให้เรานั้นไม่มีความเครียดเลยก็ว่าได้ในช่วยที่เรา นั่งอยู่นั้น  หากเราเหนื่อยมาทั้งวัน ควรนั่งอย่างน้อย 15 30 นาทีจะช่วยให้เรามีจิตใจที่สงบความเครียดจางหายไปอย่างไม่น่าเชื่อ อาจจะมีวิธีอื่นๆ อย่างเช่น เล่นโยคะ
////////////////////////////////////////////////////////////////////
เคล็ดลับ 5 ข้อเพื่อสร้างความมั่นใจในการพูด 
คนที่พูดมาก ไม่ได้แปลว่าพูดเก่งเสมอไป หรือแม้จะมีความหมายใกล้เคียงกันมาก แต่ก็ยังไม่เท่ากับการ พูดดีผู้ที่อยู่ในขั้นพูดดีนั้นคือผู้ที่ใช้ภาษาได้อย่างเหมาะสม พูดถูกกาลเทศะ  พูดจาไพเราะน่าฟัง และอาจถึงขั้นพูดได้อย่างมีชั้นเชิงแพรวพราว แต่จะทำ อย่างไรให้พูดได้ดี และขจัดความประหม่าเวลาที่จะต้องพูดในที่สาธารณะ  ดิฉันมีเคล็ดลับสำคัญ 5  ข้อมาฝากค่ะ
เรื่อง  : สายสวรรค์ ขยันยิ่ง
          บางคนที่ดิฉันเคยพบนั้นเป็นพวกที่พูดไม่หยุดเลยค่ะ  พูดเรื่องโน้น เรื่องนั้น เรื่องนี้ ได้อย่างยืดยาว ฟังแล้วเหนื่อย  และจะยิ่งน่าเบื่อเข้าไปใหญ่ ถ้าคนๆนั้นพูดแต่เรื่องของตัวเอง  ไม่เป็นผู้ฟังบ้าง หรือไม่ยอมให้คนอื่นแลกเปลี่ยนความคิด หรือประสบการณ์ของเขาบ้างเลย ยิ่งถ้าการสนทนานั้นมีเวลาน้อยนิดเท่าไร คนที่ยึดครองเวลาพูดแต่เรื่องของตัวเองคนเดียวก็จะยิ่งน่าเบื่อเท่านั้น
          บางคนมีเรื่องราวในชีวิตที่คนอื่นอยากรู้ อยากฟัง  แต่เขากลับไม่สามารถถ่ายทอดออกมาได้ เล่าเรื่องไม่เป็น จับต้นชนปลายไม่ถูก แถมยังพูดติดๆ ขัดๆ อีกต่างหาก แบบนี้ก็หมดโอกาสในการสนทนาสนุกๆ หรือเปิดตัวเองออกไปทำความรู้จักเพื่อนใหม่ สังคมใหม่ๆ อย่างน่าเสียดาย
           ขณะที่บางคน แม้จะไม่มีประสบการณ์ชีวิตโชกโชนอะไรกว่าคนอื่นเลย แต่ทุกครั้งที่เขาพูด  หรือเล่าเรื่องอะไรก็ตาม  ก็มีความน่าสนใจ น่าฟังอยู่เสมอ นั่นเป็นความสามารถในการสื่อสาร ที่ดิฉันไม่ได้มองว่าเป็นเพราะพรสวรรค์ที่ติดตัวมาแต่กำเนิดนะคะ แต่มองว่าเป็นการหล่อหลอมจากสิ่งแวดล้อมตั้งแต่วัยเด็ก  การเรียนรู้ และการพัฒนาตนเองอยู่เสมอต่างหาก
ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้พูดประเภทไหนก็ตาม สิ่งที่แตกต่างกันระหว่างการพูดในวงสนทนาเล็กๆ กับการพูดในที่สาธารณะ ก็คือ การเตรียมตัวยิ่งพูดต่อหน้าคนหมู่มากเท่าไร ก็ยิ่งต้องเตรียมตัวให้พร้อมมากขึ้นเท่านั้น เพราะการเปิดตัวไปเป็นผู้พูดในที่สาธารณะ ย่อมหมายความว่าคุณถูกคาดหวังในการพูดแต่ละครั้ง มากขึ้นกว่าการพูดกับเพื่อนฝูง คุณต้องมีทักษะในการควบคุมตนเองในการพูด มีการเตรียมเนื้อหาที่จะพูดให้เหมาะสมกับงาน บรรยากาศ  สถานที่ และผู้ฟัง  คุณต้องพร้อมที่จะปรากฏกายอย่างสง่างาม ภูมิฐาน แต่งกายถูกกาลเทศะ และคุณต้องสามารถเป็นเจ้าของเวทีนั้นได้ตลอดการพูดอย่างน่าประทับใจ
          ดิฉันได้เป็นวิทยากรทางด้าน การพัฒนาบุคลิกภาพและการสื่อสารมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง เริ่มจากการได้รับเชิญไปพูดตามหัวข้อที่ผู้จัดกำหนดขึ้น ส่วนใหญ่มักเป็นการบรรยายคราวละ 1-2 ชั่วโมง ซึ่งพบว่าผู้เข้าอบรมส่วนใหญ่ที่ไม่ได้ฝึกปฏิบัติ จะได้รับความรู้ในระดับที่แตกต่างกันไปตามประสบการณ์ของตนเอง  ใครที่มีทักษะ หรือต้องพูด ต้องนำเสนองานอยู่แล้วในชีวิตประจำวัน ก็จะเข้าใจวิธีการและนำเคล็ดลับไปปรับใช้กับตัวเองได้มากกว่าคนที่ไม่เคยมีทักษะ ไม่ค่อยได้พูดต่อหน้าคนหมู่มากมาก่อน
           ต่อมาดิฉันจึงทดลองคิดค้นหลักสูตรขึ้นเอง เน้นการฝึกปฏิบัติแบบเข้มข้น ผู้เข้าอบรมทุกคนต้องลุกขึ้นนำเสนอตลอดเวลา ตามโจทย์ที่ได้รับ ตั้งแต่การนำเสนอเรื่องของตัวเอง เรื่องใกล้ตัว ความประทับใจในชีวิต หรือสิ่งของบางอย่างที่คุ้นเคย ก่อนจะนำไปสู่เรื่องไกลตัว ที่จำเป็นต่อการทำงานมากขึ้น  เช่นการนำเสนอข่าวสาร แนวคิด นำเสนอโครงการ หรือแผนงานต่างๆหรือพัฒนาไปจนถึงขั้นการบรรยายพิเศษ การกล่าวสุนทรพจน์  หรือปาฐกถา สุดแท้แต่โอกาสและเส้นทางของแต่ละคน
           วิธีการฝึกพูดจากเรื่องใกล้ตัว ออกไปจนไกลตัวนี่เอง ทำให้ดิฉันเห็นว่า เป็นแนวทางที่ทุกคนสามารถนำไปลองฝึกฝนดูได้นะคะ เพราะคุณจะได้เริ่มฝึกความมั่นใจในการพูดไปพร้อมๆ กับฝึกเรื่องเนื้อหาที่จะพูดด้วย หากเริ่มต้นด้วยเรื่องที่คุณเองก็ไม่เข้าใจอย่างลึกซึ้ง ไม่รู้สึกอย่างแรงกล้าที่จะพูดหรือแสดงความคิดเห็น  คุณก็จะขาดพลังในการพูดเรื่องนั้นๆ  และรู้สึกไม่มั่นใจ  ประหม่า  และนำเสนอได้ไม่ดีพอ  เมื่อไม่ประสบความสำเร็จ คุณก็จะรู้สึกเข็ดขยาดต่อการพูดในที่สาธารณะไปตลอด
          นอกจากการฝึกฝนจากเรื่องใกล้ๆตัว เรื่องที่เราเข้าใจดี หรือเรื่องที่มีความรู้สึกอย่างแรงกล้าที่จะพูดแล้ว ก็ต้องฝึกฝนการใช้เสียง วิธีการออกเสียงอย่างถูกต้อง ชัดเจน ทรงพลัง ตลอดจนบุคลิกภาพที่น่าประทับใจด้วย เช่นการนั่ง ยืน หรือเดิน ที่สง่าผ่าเผย การสบสายตาผู้ฟัง มีรอยยิ้มที่เหมาะสมกับเรื่องราวที่พูด การใช้มือและอุปกรณ์ประกอบอย่างเป็นธรรมชาติไม่ดูเหมือนเป็นสิ่งแปลกปลอม  เวลาพูดก็จะต้องมีจังหวะจะโคน ควบคุมระดับเสียงให้เหมาะสมกับเรื่องและสถานที่ ควบคุมเวลาในการพูดให้อยู่ในประเด็นและความยาวที่กำหนด นอกจากนี้ยังจะต้องดูแลเรื่องบุคลิกภาพภายนอก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการแสดงภาษากายด้วยสำหรับความมั่นใจ  ซึ่งหลายคนบอกว่าสร้างยากนักหนานั้น  มีเคล็ดลับอยู่แค่ 5  ข้อเท่านั้นเองค่ะ
เคล็ดลับข้อแรก  มั่นใจด้วยการเตรียมความพร้อมมาเป็นอย่างดี
           ความไม่พร้อม หรือความไม่รู้  ทำให้เกิดความไม่มั่นใจค่ะ ถ้าไม่รู้ว่าจะพูดอะไร  ไม่เข้าใจเรื่องที่พูด  ก็จงทำการบ้านให้หนัก เตรียมข้อมูลให้มากที่สุด มากกว่าที่จะต้องใช้  และทำการบ้านด้วยว่างานที่จะต้องไปพูดนั้นเป็นงานอะไร ใครจัด ใครฟัง และคาดหวังอะไรจากเรา เพื่อจะได้เตรียมตัวให้ถูกกาลเทศะ  ไม่ทำให้ผู้เชิญต้องผิดหวัง
เคล็ดลับข้อที่ 2 มั่นใจด้วยสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง
            คงไม่ดีแน่ถ้าท่านใช้ร่างกายอย่างหักโหม อดหลับอดนอนมาก่อนถึงวันที่จะต้องพูดในที่สาธารณะ  หน้าตาที่ทรุดโทรม เสียงที่แหบพร่า และพลังงานที่อ่อนล้าจะทำให้ คุณขาดความมั่นใจไปแทบหมด และสิ่งที่สุดวิสัยอย่างยิ่งคือการเจ็บป่วยกะทันหันก่อนถึงวันงาน ดังนั้น หากจะเอาดีด้านการพูด  ก็จงดูแลสุขภาพร่างกายให้ดีอย่างสม่ำเสมอค่ะ
เคล็ดลับข้อที่ 3 มั่นใจด้วยการแต่งกายดี
          เนื่องจากการพูดในที่สาธารณะ หรือไปออกรายการโทรทัศน์ เราจะต้องอยู่ท่ามกลางสายตาของคนหมู่มาก  ดังนั้น จงให้ความใส่ใจในรายละเอียดของการแต่งกาย ตั้งแต่การแต่งกายแบบไหนที่เจ้าภาพระบุไว้ในบัตรเชิญ หรือผู้จัดงานต้องการให้แต่งกายตามสีหลักของงาน หรือเข้ากับฉากโทรทัศน์อย่างไรหรือไม่ การพูดของท่านต้องยืนหรือนั่ง(ควรรู้แม้กระทั่งนั่งเก้าอี้แบบไหนด้วยซ้ำ โดยเฉพาะสุภาพสตรี ที่บางทีใส่กระโปรงคลุมเข่าแบบสุภาพแล้ว แต่ไปเจอโซฟาหรือเก้าอี้ที่นั่งแล้วกระโปรงเลิกขึ้นไปถึงขาอ่อน  แบบนี้ก็เสียความมั่นใจ ต้องนั่งกระมิดกระเมี้ยนไปตลอดการพูด) ความสะอาดเรียบร้อยของเสื้อผ้าก็เช่นกัน เพราะเป็นตัวบ่งบอกว่าท่านดูแลตัวเองดีแค่ไหน ส่วนการแต่งหน้าทำผม ก็เป็นองค์ประกอบอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญมากๆเพราะ จะทำให้ท่านมั่นใจหรือสูญเสียความมั่นใจก็ได้
เคล็ดลับข้อที่ 4 มั่นใจจากจินตนาการ สู่ความมั่นใจในการพูด
         อยากให้ผู้พูดที่ประหม่า แข้งขาสั่น เหงื่อแตก มือเย็นไปหมด เวลาที่จะต้องพูดต่อหน้าคนหมู่มาก  ใช้จินตนาการเป็นตัวช่วยค่ะ  เรื่องนี้ไม่ได้เพ้อเจ้อ  แต่เป็นเคล็ดลับสำคัญของบรรดานักแสดงมืออาชีพ และนักพูดที่มีชื่อเสียงมากมาย หากเราเชื่อว่าเรามั่นใจ หรือแสดงท่าทางที่มั่นใจออกมา ร่างกายของเราจะมีปฏิกิริยาตอบสนอง และสั่งการให้เรามั่นใจจริงๆ ดังนั้น หากเราเชื่อว่าเราทำได้ เราพูดต่อหน้าคนหมู่มากได้ดี และทุกคนต้องการฟังเราพูด  เราก็จะเริ่มต้นพูดจากความรู้สึกเช่นนั้นได้เอง
เคล็ดลับข้อที่ 5 มั่นใจจากการฝึกฝนจนชำนาญ
          เมื่อทำตามเคล็ดลับทั้ง 4 ข้อมาแล้วข้อสุดท้ายนี้เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งค่ะ นั่นก็คือการฝึกฝน ฝึกฝน และฝึกฝน จนเกิดความชำนาญ เพราะไม่มีทักษะความสามารถใดได้มาโดยไม่ฝึกฝน เหมือนคนที่จะฝึกว่ายน้ำให้เป็น มีหนทางเดียวก็คือต้องลงน้ำ จะพูดให้ได้ดี ก็เช่นกัน เราต้องฝึกพูด และหาโอกาสพูดต่อหน้าคนหมู่มากอยู่เสมอนั่นเองค่ะ
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
จูบอย่างไรให้อีกฝ่ายประทับใจมากที่สุดด้วยเทคนิคการจูบอย่างมืออาชีพ
การแสดงความรัก การสร้างความประทับใจให้กับคนที่ตัวเองรัก ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย มักจะมีวิธีการแสดงความรักที่แตกต่างกันออกไป บางคนเลือกที่จะพูดคำว่า รักเพื่อเป็นการแสดงออกถึงความรู้สึกของตัวเองให้อีกฝ่ายนั้นได้รับรู้ แต่บางคนนั้นก็เลือกที่จะกระทำด้วยภาษากายเป็นการแสดงออกที่ลึกซึ้งและแสดงถึงความรักได้ดีมากยิ่งขึ้น
และสำหรับความรักในวัยหนุ่มสาว บางครั้งอาจจะไม่ใช่แค่วัยหนุ่มสาวเท่านั้น การแสดงออกของความรักสามารถทำได้ทุกวัยด้วยการ จูบการจูบของแต่ละคู่รักนั้นไม่เหมือนกัน ความรู้สึกที่ทั้งคู่มีต่อกันนั้นสามารถแสดงออกได้ด้วยการจูบ เป็นการแสดงความรักด้วยภาษากายที่สามารถสร้างความประทับใจให้อีกฝ่ายไม่รู้ลืมสำหรับจูบแรกของคู่รัก เรามาดูกันว่าแบบไหนที่สามารถทำให้อีกฝ่ายประทับใจได้มากที่สุด
1. จูบเบาๆ ที่หน้าผาก สำหรับความรักที่กำลังสดใส กำลังใช้คำว่าแฟนไปเรื่อยๆ ทุกอย่างในชีวิตนั้นดูมีความสุขและเป็นสีชมพูไปเสียหมด การที่ฝ่ายชายจูบหน้าผากฝ่ายหญิงเบาๆ แสดงได้ถึงความรักและเอ็นดูที่เขามีต่อฝ่ายหญิง ฝ่ายหญิงจะรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยมากที่สุด สำหรับการจูบครั้งแรกควรแสดงความรักแบบที่ไม่ต้องหวือหวามากนัก
2. จูบที่แก้ม หรือบริเวณมุมปากแบบเบาๆ การจูบที่สร้างความประทับใจ อาจจะไม่ใช่การจูบที่เร้าร้อนเสมอไป เพราะว่าบางครั้งฝ่ายหญิงอาจจะต้องการความอบอุ่น นุ่มลึก จากชายหนุ่มที่ตัวเองรักมากกว่าการใช้ความรุนแรงในการจูบ หนุ่มๆ คนไหนที่อยากสร้างความประทับใจให้ฝ่ายหญิง ลองบอกรักเธอด้วยวิธีการจูบที่แก้มหรือว่ามุมปากเบาๆ แล้วทิ้งไว้สักครู่ พร้อมกับกระซิบบอกว่ารักเธอเบาๆ เพียงเท่านี้เธอก็มีความสุขและประทับใจกับรอยจูบของคุณไปอีกนาน
3. จูบแบบเร่าร้อน เมื่อถึงเวลาที่ต้องแสดงความรักฉันท์สามีภรรยา การจูบแบบน่ารักๆ อาจจะไม่ค่อยประทับใจมากนัก หนุ่มสาวหลายคนนั้นหลงใหลกับการจูบแลกลิ้นแบบเร่าร้อน การจูบแบบลึกซึ้งขนาดนี้ ถ้าอยากให้อีกฝ่ายประทับใจลองใช้วิธีการค่อยเป็นค่อยไปมากกว่าการบุกหรือจู่โจมเพื่อจูบ ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติจะดีกว่า
เหตุผลที่ต้องจูบ ส่วนใหญ่มาจากความรักที่ต้องการแสดงออกมากกว่า การจูบเป็นหนทางแสดงออกของความรักที่ไม่ผิด แต่ต้องไม่โจ่งแจ้งหรือทำในที่ที่มีผู้คนพลุกพล่าน ควรทำในที่ส่วนตัวที่ที่มีแต่คุณและคนที่คุณรักเท่านั้น การสร้างความประทับใจในการจูบเป็นเรื่องไม่ยาก เพราะเชื่อว่าพลังแห่งความรักไม่ว่าจะจูบแบบไหนก็ทำให้สุขใจได้เสมอ
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
เปิดตำรา วิธีชงชาอย่างไรให้หอมอร่อยด้วยขั้นตอนแบบง่ายๆ
ชา เป็นหนึ่งในเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนาน ซึ่งหลายๆ คนเชื่อว่าการดื่มชานั้นจะช่วยให้สุขภาพดี ทำให้ในปัจจุบันมีชาต่างๆ มากมายวางขายอยู่ในท้องตลาดทั้งในรูปแบบของใบชา ชาผงพร้อมชง หรือชาซองสำเร็จรูปที่ต้องนำมาแช่ในน้ำร้อนก่อน เป็นต้น ซึ่งชาที่เชื่อว่าดีที่สุดก็คือ ชาที่ทำการชงชาแบบใบชานั่นเอง ซึ่งการชงชาแบบใบชานั้นต้องมีวิธีการชงชาที่ถูกต้องเพื่อให้รสชาติของชากลมกล่อม และวิธีการชงนั้นก็จะแตกต่างกันออกไปตามชนิดของชา ชาที่ได้รับความนิยมในไทย เช่น ชาอูหลงหอม ชาเขียว เป็นต้น
ชาอูหลงหอม มีหลักการในการชงอยู่ง่ายๆ ดังนี้
1. น้ำที่ใช้ในการชงชา ควรเป็นน้ำที่สะอาดหรือน้ำกรองที่ต้มจนเดือด
2. ใช้น้ำร้อนกลั้วกาน้ำชา และอุปกรณ์ในการดื่มชาก่อนใช้ทุกครั้งอย่างน้อย 1 ครั้ง เพื่อให้มีอุปกรณ์เหล่านี้มีอุณหภูมิเท่ากับน้ำที่จะใช้ในการชงชา ซึ่งจะทำให้ได้ความหอมและรสชาติของชามากยิ่งขึ้น
3. ใส่ใบชาอูหลง 2-3 ช้อนชาต่อน้ำที่ใช้ในการชง150-200 มิลลิลิตร(CC) ลงในกาน้ำชาที่ว่างเปล่า
4. ในขั้นตอนที่ 4 นี้อาจจะมีข้อแตกต่างกันในวิธีการชงชาคือ
ถ้าเป็นชาอูหลงตุ้งติ้งอูหลง, ชาอูหลงก้านอ่อน, ชาอูหลงเบอร์ 12, ชาเถกวนอิม, ชาสี่ฤดู และชาจาเป่าหลงในขั้นตอนต่อไปจะทำการเติมน้ำร้อนให้ท่วมใบชา แล้วเทน้ำร้อนออกทันที ก่อนที่จะทำการเติมน้ำร้อนให้เต็มกาอีกครั้ง แล้วแช่ไว้ประมาณ 1 นาที หรือ 5 นาทีหากต้องกาดื่มชาแบบเย็น
ถ้าหากเป็นชาอูหลงจากกดอกหอมหมื่นลี้หรือดอกมะลิ ไม่ควรล้างใบชาก่อนเพราะชาพวกนี้มีดอกที่เล็ก อาจจะหายไประหว่างการล้างได้ เราจึงทำการเติมน้ำร้อนให้เต็มกาทันทีก่อนแช่ไว้ประมาณ 1 นาที หรือ 5 นาทีหากต้องกาดื่มชาแบบเย็น
5. รินน้ำชาออกจากกาน้ำชาให้หมด ไม่ควรแช่ทิ้งไว้ ซึ่งน้ำชาที่รินออกมาสามารถดื่มได้เลยทั้งหมด ส่วนใบชาที่ชงแล้วสามารถพักไว้ในกาได้ และยังสามารถใช้ชงได้อีก 3-4 ครั้งหรือเก็บได้ไม่เกิน 1 วันจากการชงครั้งแรก เพราะรสชาติชาจะไม่ดีเหมือนเดิมนั่นเอง
ถ้าหากว่าชามีลักษณะเป็นซองที่ต้องแช่น้ำร้อน สามารถทำการชงได้โดยมีขั้นตอน คือ ใช้ชา 1 ซอง แช่ในน้ำร้อน 80-90 องศา ประมาณ 250 มิลลิลิตร นาน 3 นาที แล้วนำถุงชาออก ส่วนถุงชานั้นสามารถนำมาแช่ซ้ำนาน 3 นาทีได้อีก 1 รอบหรืออาจจะทิ้งไปเลยก็ได้เช่นกัน
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ประโยชน์ของอาหารเช้า
ปัจจุบันการดำเนินชีวิตในแต่ละวันที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบ หลายคนอาจจะมองข้ามความสำคัญของอาหารเช้าและอาจทำให้หลายคนหลงลืมทาน "อาหารเช้า" ไปด้วยความตั้งใจเพราะมองว่าการรับประทานอาหารตอนเช้าเป็นเรื่องที่เสียเวลา จะมีเพียงไม่กี่คนที่ให้ความสำคัญกับอาหารเช้า วันนี้เราก็เลยนำเอาความรู้ความเข้าใจเล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับความสำคัญที่คุณก็นึกไม่ถึงว่า อาหารเช้าสําคัญอย่างไรกันค่ะ แล้วคุณก็จะหันมาให้ความสำคัญกับอาหารเช้าที่คุณเคยมองข้ามได้อย่างง่ายดาย
ประโยชน์ของอาหารเช้า
ช่วยให้ความจำดี
มีการวิจัยพบว่า การรับประทานอาหารเช้ามีส่วนเพิ่มประสิทธิภาพการเรียน การทำงาน ทำให้ระบบความจำ ทักษะการเรียนรู้ และอารมณ์ดีขึ้นด้วยค่ะ แต่หากใครไม่ทานอาหารเช้าจะมีสมาธิน้อยลงและสมองก็ทำงานได้ไม่เต็มที่
ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานได้
โดยคนที่รับประทานอาหารเช้าจะมีภาวะผิดปกติของฮอร์โมนอินซูลิน หรือที่เรียกว่าภาวะดื้อต่ออินซูลินซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเบาหวานนั้นลดลงถึง 35-50% เลยทีเดียว
ช่วยในการควบคุมน้ำหนักได้
อาหารเช้าช่วยควบคุมโรคอ้วนและน้ำหนักได้เป็นอย่างดีค่ะ นั่นเพราะจากมื้อดึกจนถึงเช้าวันใหม่เราอดอาหารมานานเกือบ 12 ชั่วโมง และหากเรายิ่งไม่ทานอาหารเช้าเข้าไปอีกจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำลง จนไปเพิ่มแนวโน้มการรับประทานอาหารที่มีพลังงานและไขมันสูงในมื้อเที่ยงมากขึ้นและนี่ก็เป็นสาเหตุให้มีน้ำหนักเกินและโรคอ้วนได้อย่างไม่รู้ตัวอีกด้วย
ลดความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดโรคหัวใจ
ผลการวิจัยจากสมาคมแพทย์โรคหัวใจในอเมริกาเมื่อปี 2003 พบว่า การรับประทานอาหารเช้าอย่างสม่ำเสมออาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเส้นเลือดสมองและโรคหัวใจได้ด้วย เพราะในตอนเช้าเลือดของเรามีความเข้มข้นสูงและทำให้เส้นเลือดที่ส่งไปเลี้ยงสมอง หรือหัวใจอุดตันได้ แต่ถ้ารับประทานอาหารเช้าเข้าไปจะช่วยให้ระดับความเข้มข้นในเลือดเจือจางลงด้วย
ช่วยลดโอกาสเกิดโรคนิ่ว
การไม่รับประทานอาหารนานกว่า 14 ชั่วโมงจะทำให้คอเลสเตอรอลในถุงน้ำดีจับตัวกันนาน หากนาน ๆ ไปสิ่งที่จับตัวกันนั้นจะกลายเป็นก้อนนิ่ว แต่หากเราทานอาหารเช้าเข้าไปล่ะก็ มันจะไปกระตุ้นให้ตับปล่อยน้ำดีออกมาละลายคอเลสเตอรอลที่จับตัวกันอยู่ได้
ช่วยพัฒนาสมอง
สำหรับเด็ก ๆ การอดอาหารเช้าเป็นประจำ อาจทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารไม่เพียงพอส่งผลให้ร่างกายไม่แข็งแรง การเจริญเติบโตไม่เป็นไปตามเกณฑ์และยังส่งผลต่อสติปัญญา ทำให้ขาดสมาธิ ส่งผลเสียในระยะยาวอีกด้วย

ทีนี้เราก็รู้แล้วว่าอาหารเช้ามีประโยชน์มากมายขนาดไหน ยังไงก็จะต้องจัดสรรเวลาที่เร่งรีบและมีน้อยนิดนี้ แบ่งออกมาเพื่อรับประทานอาหารมื้อเช้าของเรากันแล้ว
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
5 วิธีดูแลสุขภาพในการทำงานหน้าจอคอมฯ
5 วิธีดูแลสุขภาพ ในการทำงานหน้าจอคอมฯ ที่คุณสามารถทำตามได้ง่ายๆ เพื่อช่วยให้คุณทำงานได้ดีและมีประสิทธิภาพเพิ่มมากยิ่งขึ้น
1. อย่าลืมกระพริบตาเวลานั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ อย่าลืมกระพริบตา เพราะการพริบตาจะช่วยให้ดวงตามีน้ำหล่อเลี้ยงไม่ให้ดวงตาแห้ง หลายปัญหาเกี่ยวกับดวงตาก็เกิดจากการ นั่งหน้าจอคอมฯ นานๆ โดยไม่มีการกระพริบตา ดังนั้นอย่าลืมกระพริบตา หรือเพ่งเล็งหน้าจอคอมฯ นานเกินไป
2. อย่าลืมดื่มน้ำเป็นที่เข้าใจกันอยู่แล้วว่าน้ำนั้นมีความสำคัญกับร่างกายของคนเรา ยิ่งมีการทำงานที่ต้องใช้สมองและร่างกายด้วยแล้ว น้ำจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะมันจะทำหน้าที่ในการหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย อย่างเช่น สมอง ดังนั้นเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้ดียิ่งขึ้นอย่าลืมดื่มน้ำกันนะจ๊ะ
3. อย่าลืมว่าคุณนั่งทำงานในท่าที่ถูกต้องหลายครั้งหลังจากการทำงานแล้ว หลายคนรู้สึกปวดเมื่อยร่างกายโดยเฉพาะส่วนหลังหรือต้นคอ เหตุผลส่วนหนึ่งคงหนีไม่พ้นจากการนั่งทำงานในท่าที่ผิด ตัวอย่างเช่น การนั่งเอนหลังมากเกินไป ซึ่งเป็นการนั่งไม่ถูกต้อง การนั่งในลักษณะนี้นอกจากจะทำให้ปวดเมื่อยตามร่างกายแล้ว ยังลดประสิทธิภาพในการทำงานของเราด้วย ท่านั่งที่ถูกต้องคือการนั่งตัวตรง หากนั่งอยู่หน้าจอคอมฯ เพื่อพิมพ์งานต่างๆ ควรให้คีย์บอร์ดและเม้าส์อยู่ในระดับที่พอเหมาะกับแขนและมือที่ยื่นออกไป ไม่สูง ต่ำ หรือ ไกลจากตัวเรามากนัก แค่นี้ก็ช่วยไม่ให้ปวดเมื่อยได้พอสมควร
4. อย่าลืมทำความสะอาดความสะอาดก็มีส่วนสำคัญที่ไม่ควรปล่อยปละละเลย หากคุณเห็นฝุ่นตามอุปกรณ์คอมพิวเตอร์หรือในห้อง ควรทำความสะอาดให้หมดจดเพื่อสุขภาพที่ดีในการทำงาน เพราะฝุ่นละอองเหล่านั้นอาจนำมาซึ่งเชื้อโรคหรือแบคทีเรียต่างๆ ที่จะส่งผลให้คุณมีโรคภัยไข้เจ็บได้ และที่สำคัญมันยังลดบรรยากาศการทำงานในห้องของคุณด้วย

5. อย่าลืมลุกขึ้นจากเก้าอี้บ้างไม่ว่าคุณจะมีเหตุผลที่ต้องทำงานหนักและต้องนั่งนานแค่ไหน ก็ไม่ควรที่จะลืมลุกขึ้นจากเก้าอี้บ้าง เดินผ่อนคลายยืดเส้นยืดสาย หรือสามารถนั่งบนเก้าอี้ไปพร้อมกับยืดเส้นยืดสายไปด้วยก็ได้ เพื่อช่วยให้เลือดหมุนเวียน ส่งผลให้คุณมีความสามารถหรือประสิทธิภาพในการทำงานเพิ่มมากยิ่งขึ้น มันช่วยได้จริงๆ นะ แถมยังผ่อนคลายไม่ให้ตึงเครียดมากเกินไปได้อีกด้วย
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
14 แบบปลั๊กไฟที่ใช้ทั่วโลก แต่ละประเทศใช้ปลั๊กไฟแบบไหนบ้าง ?
ปลั๊กไฟ
แนะนำแบบปลั๊กไฟที่ใช้ในปัจจุบันจากทั่วโลก ประเทศไหนใช้ปลั๊กไฟแบบไหนบ้าง มาดู 14 แบบปลั๊กไฟจากทั่วโลกที่ใช้ในประเทศต่าง ๆ กันค่ะ
          ถึงแม้ว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าในหลาย ๆ ประเทศจะเป็นยี่ห้อและรุ่นเดียวกัน แต่ก็ใช่ว่าจะสามารถใช้ปลั๊กไฟและเต้าเสียบร่วมกันได้หมด เนื่องจากในแต่ละประเทศจะมีการจ่ายไฟฟ้าไปตามบ้านเรือนในกำลังที่ต่างกัน จึงทำให้ปลั๊กไฟของเครื่องใช้ไฟฟ้าและเต้าเสียบในแต่ละประเทศแตกต่างกันไปด้วย ซึ่งปลั๊กไฟที่ใช้กันอยู่ทั่วโลกในปัจจุบันแบ่งได้เป็น 14 ประเภท ดังนี้
1. Type A

          - ลักษณะ : เป็นปลั๊กแบนสองขา ขาของปลั๊กชนิดนี้ในอเมริกาจะไม่เท่ากัน ทำให้เสียบกับเต้าเสียบได้เพียงหนึ่งด้านเท่านั้น แต่ในญี่ปุ่นรวมถึงไทย ขาทั้ง 2 ข้างของปลั๊กชนิดนี้จะเท่ากัน ทำให้เสียบได้ 2 ด้าน ฉะนั้นปลั๊กสองขาที่นำไปจากไทยและญี่ปุ่นจึงสามารถใช้ได้ในอเมริกา แต่ปลั๊กจากอเมริกาจะนำมาเสียบในไทยไม่ได้
          - ประเทศที่ใช้ : กลุ่มประเทศในแถบอเมริกาเหนือ (North America) และอเมริกากลาง (Central America) ญี่ปุ่น ไทย มาเลเซีย เวียดนาม ลาว ใต้หวัน จีน เกาหลีเหนือ
2. Type B
          - ลักษณะ : ปลั๊กไฟไทป์ B หรือที่รู้จักในชื่อ ปลั๊กสามขา ใช้กันแพร่หลายเช่นเดียวไทป์ A ลักษณะคล้ายกับปลั๊กสองขา แต่จะมีขาสายดินเพิ่มขึ้นมาด้านบนระหว่างขาเสียบทั้งสองขา เวลาไฟรั่วก็จะรั่วลงดินผ่านขาที่สาม โดยขาปลั๊กสองขาด้านล่างจะแบน ส่วนขาบนจะกลมและยาวกว่า

          - ประเทศที่ใช้ : กลุ่มประเทศในแถบอเมริกาเหนือ (North America) และอเมริกากลาง (Central America) ญี่ปุ่น ไทย มาเลเซีย เวียดนาม ลาว ใต้หวัน จีน เกาหลีเหนือ
3. Type C

          - ลักษณะ : ปลั๊กกลมสองขา ใช้ได้กับเต้าเสียบที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางวงของรูระหว่าง 4.0-4.8 มิลลิเมตร ระยะห่างของรูทั้งสองอยู่ที่ 19 มิลลิเมตร อย่างเช่น เต้าเสียบสำหรับไทป์ E ไทป์ F ไทป์ J ไทป์ K และ ไทป์ N

          - ประเทศที่ใช้ : ใช้กันแพร่หลายในยุโรปยกเว้นประเทศอังกฤษและประเทศไอร์แลนด์ แถบเอเชียก็นิยมใช้กัน อย่างเช่น จีน ไทย อินโดนีเซีย อิหร่าน ภูฏาน พม่า ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย เกาหลีใต้ และเกาหลีเหนือ
4. Type D
          - ลักษณะ : ปลั๊กกลมสามขาทำมุมกันเป็นรูปสามเหลี่ยม โดยสองขาล่างมีเส้นผ่านศูนย์กลางเท่ากัน ส่วนขาด้านบนจะมีขนาดใหญ่กว่า สามารถใช้ร่วมกันกับไทป์ M ได้ โดยเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีขนาดใหญ่กว่าจะใช้ปลั๊กไทป์ M แทน
          - ประเทศที่ใช้ : บังกลาเทศ อินเดีย นามิเบีย ศรีลังกา เนปาล ภูฏาน ฮ่องกง กาน่า จอร์แดน มาดากัสการ์ พม่า ปากีสถาน การ์ต้า แอฟริกาใต้ และแทนซาเนีย
5. Type E             
          - ลักษณะ : มีลักษณะเป็นปลั๊กกลมสองขา เส้นผ่าศูนย์กลางของขาปลั๊กอยู่ที่ 4.8 มิลลิเมตร และอยู่ห่างกัน 19 มิลลิเมตร ด้านบนของขาปลั๊กจะมีรูใช้เชื่อมต่อกับขาปลั๊กของเต้าเสียบ ทั้งปลั๊กและเต้าเสียบของไทป์ E จะมีรูปร่างกลม สามารถใช้กับไทป์ F ได้

          - ประเทศที่ใช้ : ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม สโลวาเกีย ตูนีเซีย เดนมาร์ก กรีนแลนด์ โปแลนด์ คองโก ลาว มองโกเลีย
6. Type F

          - ลักษณะ : ไทป์ F มักจะรู้จักกันในชื่อปลั๊ก Schuko เป็นปลั๊กกลมสองขา เส้นผ่าศูนย์กลางของขาปลั๊กอยู่ที่ 4.8 มิลลิเมตร และอยู่ห่างกัน 19 มิลลิเมตร มีคลิปกราวด์อยู่ด้านข้างทั้ง 2 ข้าง สามารถใช้ได้กับเต้ารับไทป์ E และไทป์ F
          - ประเทศที่ใช้ : เยอรมนี ออสเตรีย เนเธอร์แลนด์ สเปน สวีเดน อียิปต์ เดนมาร์ก นอร์เวย์ ฟินแลนด์ กรีซ อิตาลี เกาหลีใต้ เกาหลีเหนือ เวียดนาม ไทย ภูฏาน
7. Type G
          - ลักษณะ : ปลั๊กสามขารูปสี่เหลี่ยม ส่วนปลายของขาปลั๊กจะเป็นรูปสามเหลี่ยม โดยขาทั้งสองข้างด้านล่างจะอยู่ในแนวนอน ส่วนขาที่สามด้านบนจะอยู่ในแนวตั้ง
          - ประเทศที่ใช้ : อังกฤษ ไอร์แลนด์ แทนซาเนีย คูเวต การ์ต้า สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ฮ่องกง ศรีลังกา ภูฏาน กัมพูชา พม่า สิงคโปร์
8. Type H
          - ลักษณะ : ปลั๊กสามขาขาแบน โดยทั้งตัวปลั๊กและเต้าเสียบจะเป็นรูปวงกลม รูของเต้าเสียบจะเป็นวงกลมและมีช่องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ผ่ากลาง ซึ่งจะเป็นที่เสียบของขาปลั๊กนั่นเอง
          - ประเทศที่ใช้ : มีใช้แค่ที่ประเทศอิสราเอลเท่านั้น       
9. Type I

          - ลักษณะ : ปลั๊กแบนสามขา โดยสองขาด้านล่างจะทำมุมเข้าหากันเป็นรูปตัว V ส่วนสายดินด้านบนจะตั้งตรง นอกจากนั้นแล้วปลั๊กไทป์ I ยังมีแบบสองขาอีกด้วย และปลั๊กจากออสเตรเลียก็สามารถใช้ได้กับเต้าเสียบในจีนเช่นกัน 
          - ประเทศที่ใช้ : ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ปาปัวนิวกินี อาร์เจนตินา อุรุกวัย จีน
10. Type J
          - ลักษณะ : ปลั๊กกลมสามขา ถึงแม้ปลั๊กไทป์ J มีลักษณะคล้ายกับปลั๊กไทป์ N แต่ก็ไม่สามารถเสียบกับเต้าเสียบไทป์ N ได้ เนื่องจากขาด้านบนที่เป็นสายดินจะอยู่ห่างจากจุดศูนย์กลางของปลั๊กมากกว่าไทป์ N ปลั๊กไทป์ C แต่ปลั๊กไฟแบบนี้สามารถใช้กับเต้าเสียบไทป์ J ได้
          - ประเทศที่ใช้ : สวิตเซอร์แลนด์ จอร์แดน มัลดีฟส์ มาดากัสการ์  ลิกเตนสไตน์
11. Type K

          - ลักษณะ : ปลั๊กจะมีสามขา โดยขาที่เป็นสายดินจะอยู่ด้านล่างเป็นรูปครึ่งวงกลม ส่วนอีกสองขาด้านบนจะเป็นวงกลม ปลั๊กไทป์ K จะคล้ายกับไทป์ F แต่จะแตกต่างกันที่ปลั๊กไทป์ F จะมีคลิปกราวด์แทนสายดิน
          - ประเทศที่ใช้ : เดนมาร์ก กรีนแลนด์ มาดากัสการ์ มัลดีฟ บังกลาเทศ
12. Type L
          - ลักษณะ : ปลั๊กลมสามขาเรียงกันในแนวตั้ง โดยขาตรงกลางจะเป็นสายดิน แต่ขาละมีเส้นผ่าศูนย์กลางอยู่ที่ 4 มิลลิเมตร และห่างกัน 5.5 มิลลิเมตร ปลั๊กจะมีสองแบบคือ แบบ 10 แอมป์ และแบบ 16 แอมป์
          - ประเทศที่ใช้ : อิตาลี ชิลี มัลดีฟส์ อุรุกวัย
13. Type M

          - ลักษณะ : ปลั๊กกลมสามขาทำมุมเป็นรูปสามเหลี่ยม คล้ายกับไทป์ D แต่ขาที่สามด้านบนของไทป์ M จะมีขนาดใหญ่กว่า ส่วนใหญ่แล้วไทป์นี้จะผลิตออกมาใช้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่ในประเทศที่ใช้ปลั๊กไทป์ D

          - ประเทศที่ใช้ : แอฟริกาใต้ อินเดีย อิสราเอล ภูฏาน ศีลังกา มาเก๊า สิงคโปร์ มาเลเซีย
14. Type N
          - ลักษณะ : ปลั๊กกลมสามขา โดยขาที่สามด้านบนจะเป็นสายดิน แบ่งเป็น 2 แบบ คือ แบบ 10 แอมป์ ซึ่งสองขาด้านล่างจะมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 4 มิลลิเมตร และแบบ 20 แอมป์ ซึ่งสองขาด้านล่างจะมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 4.8 มิลลิเมตร เต้าเสียบของไทป์ N ใช้ได้กับปลั๊กไทป์ C


          - ประเทศที่ใช้ : บราซิลและแอฟริกาใต้

          คราวนี้รู้กันแล้วใช่ไหมคะว่า มีปลั๊กไฟแบบไหนบ้านและแต่ละประเทศใช้ปลั๊กไฟแบบไหน ก่อนเดินทางหรือจำเป็นต้องย้ายไปอยู่ต่างแดน ก็อย่าลืมนำเต้าเสียบหรือเตรียมปลั๊กไฟไปให้เรียบร้อยนะคะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น