Superfoodddddd !!!
สวัสดีครับ วันนี้Admin ขอแนะนำข้อมูลดีๆจากเพจเพจหนึ่ง เกี่ยวกับอาหาร ที่อัดแน่นด้วยประโยชน์
จนหลายๆคนเรียกอาหารเหล่านี้ว่า Superfood !!! ซึ่ง Admin จะแนะนำตั้งแต่ระดับ
inter ที่หาทานง่ายๆในบ้านเราเลยนะครับ มาดูกันเลยว่ามีอะไรบ้าง
ท้ายนี้ Admin ก็ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จากเพจ jonessalad thailand โดยผู้ที่สนใจจะหาข้อมูลเพิ่ม Adminจะแนบลิ้งไว้ท้ายนี้เลยนะครับhttps://www.facebook.com/JonesSaladThailand/posts/1946886795546806
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
งู ? รู้ทันและระวังในช่วงน้ำท่วม
ซึ่งในขณะนี้หลายจังหวัดในภาคใต้ประสบปัญหาน้ำท่วม
แอดมินมีความเป็นห่วงว่างูชนิดไหนชอบย่องเข้าไปในบ้านจึงได้หารูปภาพพร้อมจำแนกให้ประชาชนคนดูได้เข้าใจและระมัดระวังว่างูชนิดไหนไม่มีพิษและมีพิษอัตรายมากน้อยเท่าไร
ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความปลอดภัยแก่คนใกล้ชิดและบุตรหลานของท่าน ..........ด้วยความปรารถนาดี
จากร้อยปจว.4 ขอฝากไว้ด้วยคับ >.<
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////\
การออกกำลังกายแต่ละแบบ........เลือกเอาถนัดสายไหน?
ออกกำลังกายมีหลายแบบ จริงๆแล้วออกให้ครบทุกแบบอ่ะจะดีที่สุด...
แต่สำหรับคนไม่มีเวลา ....จะให้ออกครบทุกรูปแบบ หนักหน่วงทุกอย่าง ก็คงจะไม่ไหว
อย่างไรก็ตาม การออกกำลังกายในแต่ละรูปแบบ นั้น เน้นให้ผลดีต่อร่างกายในมุมที่แตกต่างกันไป เราจึงอาจต้องเลือกออกกำลังกายในรูปแบบที่เป็นไปตามเป้าหมายของเรามากหน่อย
ออกกำลังกายมีหลายแบบ จริงๆแล้วออกให้ครบทุกแบบอ่ะจะดีที่สุด...
แต่สำหรับคนไม่มีเวลา ....จะให้ออกครบทุกรูปแบบ หนักหน่วงทุกอย่าง ก็คงจะไม่ไหว
อย่างไรก็ตาม การออกกำลังกายในแต่ละรูปแบบ นั้น เน้นให้ผลดีต่อร่างกายในมุมที่แตกต่างกันไป เราจึงอาจต้องเลือกออกกำลังกายในรูปแบบที่เป็นไปตามเป้าหมายของเรามากหน่อย
----- ลองดูตามรูปด้านล่างนี้ได้เลยครับ-----
ขอขอบคุณ คุณ Jones
salad เจ้าของเคดิต
ปล. พวกกีฬาแบบ
เตะบอล บาสเก็ตบอล ตีแบท จะเน้นไปเป็นการออกในรูปแบบ คาร์ดิโอ นะครับ.
////////////////////////////////////////////////////////////
กินไข่...ต้านโรค
ไข่ไก่
เป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เต็มไปด้วยสารอาหารที่ร่างกายต้องการ ในไข่ไก่
1 ฟอง น้ำหนักเฉลี่ยประมาณ 50 กรัม จะให้พลังงานประมาณ 75-80 แคลอรี
มีโปรตีนสูงถึง 7 กรัม
ไข่ขาว
มีน้ำหนักประมาณ 2 ใน 3 ของไข่ทั้งฟอง ประกอบไปด้วยโปรตีนคุณภาพสูง ประมาณร้อยละ
12 มีสาระสำคัญที่เป็นองค์ประกอบของโปรตีนที่อุดมไปด้วยกรดอะมิโน 8 ชนิด
ที่จำเป็นต่อร่างกาย
ไข่แดง
มีน้ำหนักประมาณ 1 ใน 3 ของน้ำหนักไข่ ประกอบไปด้วยโปรตีน ไขมัน วิตามิน
และแร่ธาตุที่สำคัญ สำหรับไขมันที่มีอยู่ค่อนข้างมากในไข่แดงนั้น
เป็นไขมันประเภทอิ่มตัว รวมถึงโอเมก้า-3
ที่ช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด
ซึ่งมีคุณค่าเหมือนไขมันในปลาแซลมอน และปลาทะเล
ด้วยความเข้าใจที่ว่าในไข่ไก่นั้นมีคอเลสเตอรอลค่อนข้างสูง
โดยในไข่ 1 ฟอง มีปริมาณคอเลสเตอรอลประมาณ 213 มิลลิกรัม
ซึ่งอาจมีผลต่อการเพิ่มปริมาณคอเลสเตอรอลในเลือดได้
แต่การวิจัยเกี่ยวกับเรื่องไขมันและคอเลสเตอรอลในไข่ไก่ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน
สามารถพูดได้อย่างแน่ชัดแล้วว่า ไขมัน และคอเลสเตอรอลในไข่ไก่มีผลเสียต่อผู้บริโภคน้อยมากเมื่อเทียบกับไขมันจากแหล่งอื่นๆ
นอกจากนี้
โปรตีนที่มีปริมาณสูงในไข่ไก่ สารอาหารจำพวกไขมัน และคอเลสเตอรอล
ไม่ได้เป็นสาเหตุและความเชื่อมโยงใดๆ ต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด
เมื่อรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม ที่สำคัญไข่ไก่ 1ฟอง
ยังมีวิตามินและแร่ธาตุหลากหลาย อาทิ วิตามินเอ วิตามินบี1 บี2 บี6 วิตามินดี
โคลีน อิโนซิทอล แคลเซียม ฟอสฟอรัส และโปแตสเซียม เป็นต้น โดยในส่วนของโคลีน
ที่พบในไข่นั้น เป็นส่วนประกอบในสารทีเรียกว่า “เลซิติน”
โดยปัจจุบันพบว่าสารเลซิตินนี้เป็นที่นิยมของผู้บริโภค
ที่มักรับประทานในรูปอาหารเสริมสุขภาพ ช่วยบำรุงสมอง
และป้องกันภาวะความผิดปกติของระบบประสาท
สรุปเลยว่า “ไข่ไก่” เป็นของดี ราคาถูก คุณประโยชน์มาก
แบบนี้...ไม่ทานไม่ได้แล้ว
///////////////////////////////////////////////////////////////////
วิธีการคลายเครียด
การคลายเครียด
มีความจำเป็นเพราะความเครียดสามารถเกิดขึ้นทุกวัยแต่จะเน้นหนักไปที่วัยทำ
งานเสียมากกว่า เพราะว่ามักจะเจอเรื่องเครียดๆ กันอยู่ประจำ จึงมีโอกาสที่จะพบภาวะความเครียดที่เกิดขึ้นได้มากกว่าวัยอื่นๆ
ด้วยปัจจุบันหลายอย่าง
ซึ่งก่อให้เกิดโรคภัยต่างๆที่เกิดขึ้นกับร่างกายมากมาย อย่างเช่นปัญหาทางด้านระบบทางเดินอาหาร โรคหัวใจและหลอดเลือด นอนไม่ค่อยหลับ อ้วน โรคทางผิวหนัง โรคซึมเศร้าและโรคอื่นๆ
ตามา จะทำให้ร่างกายอ่อนแอเจ็บป่วย ดังนั้นจึงขอเสนอแนวทางสำหรับคลายเครียดให้กับ
คนที่ทำงานกันหนัก เพื่อจะได้เป็นประโยชน์ต่อร่างกายของเราได้
สำหรับการคลายเครียดวิธีต่างๆ
ที่จะนำเสนอต่อไปนี้แล้วแต่ความเหมาะสมสำหรับคนที่การได้หลากหลายวิธี
อาหารคลายเครียด
สำหรับอาหารที่ใช้คลายเครียด
เกิดจากนักวิจัยได้ทำการศึกษาอาหารต่างๆที่สามารถคลายเครียดได้ และเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ไม่ยากจะช่วยให้ระบบความเครียดของเรานั้นลดลงได้
– สาหร่าย สาหร่ายมีแมกนีเซียมสามารถที่จะลดความเครียดได้
ลดอาการของคนชอบวิตกกังวลอยู่บ่อยครั้ง
– แคนตาลูป แคนตาลูปนั้นมีความมันและมีวิตามินซี
สามารถที่จะต่อสู้กับความเครียดที่เกิดได้และก็ยังมีผลไม้อื่นๆ
ที่มีวิตามินซีและมันให้กินแก้เครียดได้ด้วย อย่างเช่น มะละกอ บ้านเรา
– บลูเบอร์รี่ เต็มไปด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ต่อต้านความเครียดได้เช่นกัน
ซึ่งมีผลไม้อื่นที่มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระได้เช่นกัน
– อัลมอนด์ สามที่จะลดความเครียด
ด้วยวิตามินบี 2
ผักชนิดอื่นๆ สามารถที่จะทานคลายเครียดได้เกือบทั้งหมดเลยล่ะ
มีพวกถั่ว เมล็ดต่างๆของพืช เช่น ทานตะวัน ฟักทองเป็นต้น
การบริหารร่างกายและพฤติกรรม
– พยายามนวดบริเวณ
ขอบตา ขมับ ท้ายทอยทั้งนวดและกดบริเวณดังกล่าวบ่อยๆ กดครั้งละ 5- 10 วินาที จะทำให้รู้สึกผ่อนคลายความเครียดได้มาก
– ดูหนังฟังเพลง จะช่วยให้คลายความเครียดได้มาหนังที่เราชอบดู เพลงที่เราชอบฟัง
– หายในลึกๆ แล้วปล่อยออกมาช้าๆ
ก็จะช่วยให้ผ่อนคลายได้เช่นกัน
– ใช้เวลาในการพบปะเพื่อฝูงญาติพี่น้องต่างๆ
เข้าหาสังคม
– สิ่งที่ใกล้บริเวณความเครียดหรือว่าคนที่เราทำให้เครียด
มีคนบอกว่าความเครียดเกิดจากเราได้พบปัญหาหลายสิ่งที่ไม่พอใจ อย่างเช่นการได้ยินคนติชิน
นินทาเรา
– ทำงานท่าเราชอบ
เป็นงานอดิเลกที่เราทำแล้วเกิดความเพลินใจ
– หากเราอยู่ในที่ทำงานทั้งวักเกิดโอกาสให้เราพักผ่อนสมองอย่างเช่น การเดินไปรอบๆ จะช่วยให้เราได้ออกกำลังกายด้วยส่งผลต่อความเครียดที่เรามีอยู่ลดลงได้
– ทำสมาธิ การที่เรานั่งสมาธิจะทำให้เรานั้นไม่มีความเครียดเลยก็ว่าได้ในช่วยที่เรา
นั่งอยู่นั้น หากเราเหนื่อยมาทั้งวัน ควรนั่งอย่างน้อย
15 – 30
นาทีจะช่วยให้เรามีจิตใจที่สงบความเครียดจางหายไปอย่างไม่น่าเชื่อ อาจจะมีวิธีอื่นๆ
อย่างเช่น เล่นโยคะ
////////////////////////////////////////////////////////////////////
เคล็ดลับ 5 ข้อเพื่อสร้างความมั่นใจในการพูด
คนที่พูดมาก
ไม่ได้แปลว่าพูดเก่งเสมอไป หรือแม้จะมีความหมายใกล้เคียงกันมาก
แต่ก็ยังไม่เท่ากับการ “พูดดี” ผู้ที่อยู่ในขั้นพูดดีนั้นคือผู้ที่ใช้ภาษาได้อย่างเหมาะสม
พูดถูกกาลเทศะ พูดจาไพเราะน่าฟัง
และอาจถึงขั้นพูดได้อย่างมีชั้นเชิงแพรวพราว แต่จะทำ อย่างไรให้พูดได้ดี และขจัดความประหม่าเวลาที่จะต้องพูดในที่สาธารณะ ดิฉันมีเคล็ดลับสำคัญ 5 ข้อมาฝากค่ะ
เรื่อง : สายสวรรค์ ขยันยิ่ง
บางคนที่ดิฉันเคยพบนั้นเป็นพวกที่พูดไม่หยุดเลยค่ะ พูดเรื่องโน้น เรื่องนั้น เรื่องนี้
ได้อย่างยืดยาว ฟังแล้วเหนื่อย และจะยิ่งน่าเบื่อเข้าไปใหญ่
ถ้าคนๆนั้นพูดแต่เรื่องของตัวเอง
ไม่เป็นผู้ฟังบ้าง หรือไม่ยอมให้คนอื่นแลกเปลี่ยนความคิด
หรือประสบการณ์ของเขาบ้างเลย ยิ่งถ้าการสนทนานั้นมีเวลาน้อยนิดเท่าไร
คนที่ยึดครองเวลาพูดแต่เรื่องของตัวเองคนเดียวก็จะยิ่งน่าเบื่อเท่านั้น
บางคนมีเรื่องราวในชีวิตที่คนอื่นอยากรู้
อยากฟัง
แต่เขากลับไม่สามารถถ่ายทอดออกมาได้ เล่าเรื่องไม่เป็น
จับต้นชนปลายไม่ถูก แถมยังพูดติดๆ ขัดๆ
อีกต่างหาก แบบนี้ก็หมดโอกาสในการสนทนาสนุกๆ
หรือเปิดตัวเองออกไปทำความรู้จักเพื่อนใหม่ สังคมใหม่ๆ อย่างน่าเสียดาย
ขณะที่บางคน แม้จะไม่มีประสบการณ์ชีวิตโชกโชนอะไรกว่าคนอื่นเลย
แต่ทุกครั้งที่เขาพูด
หรือเล่าเรื่องอะไรก็ตาม
ก็มีความน่าสนใจ น่าฟังอยู่เสมอ นั่นเป็นความสามารถในการสื่อสาร ที่ดิฉันไม่ได้มองว่าเป็นเพราะพรสวรรค์ที่ติดตัวมาแต่กำเนิดนะคะ แต่มองว่าเป็นการหล่อหลอมจากสิ่งแวดล้อมตั้งแต่วัยเด็ก การเรียนรู้ และการพัฒนาตนเองอยู่เสมอต่างหาก
ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้พูดประเภทไหนก็ตาม
สิ่งที่แตกต่างกันระหว่างการพูดในวงสนทนาเล็กๆ กับการพูดในที่สาธารณะ ก็คือ “การเตรียมตัว” ยิ่งพูดต่อหน้าคนหมู่มากเท่าไร ก็ยิ่งต้องเตรียมตัวให้พร้อมมากขึ้นเท่านั้น
เพราะการเปิดตัวไปเป็นผู้พูดในที่สาธารณะ
ย่อมหมายความว่าคุณถูกคาดหวังในการพูดแต่ละครั้ง มากขึ้นกว่าการพูดกับเพื่อนฝูง
คุณต้องมีทักษะในการควบคุมตนเองในการพูด มีการเตรียมเนื้อหาที่จะพูดให้เหมาะสมกับงาน บรรยากาศ สถานที่ และผู้ฟัง คุณต้องพร้อมที่จะปรากฏกายอย่างสง่างาม ภูมิฐาน
แต่งกายถูกกาลเทศะ
และคุณต้องสามารถเป็นเจ้าของเวทีนั้นได้ตลอดการพูดอย่างน่าประทับใจ
ดิฉันได้เป็นวิทยากรทางด้าน “การพัฒนาบุคลิกภาพและการสื่อสาร” มาแล้วหลายต่อหลายครั้ง
เริ่มจากการได้รับเชิญไปพูดตามหัวข้อที่ผู้จัดกำหนดขึ้น ส่วนใหญ่มักเป็นการบรรยายคราวละ 1-2 ชั่วโมง ซึ่งพบว่าผู้เข้าอบรมส่วนใหญ่ที่ไม่ได้ฝึกปฏิบัติ จะได้รับความรู้ในระดับที่แตกต่างกันไปตามประสบการณ์ของตนเอง ใครที่มีทักษะ หรือต้องพูด
ต้องนำเสนองานอยู่แล้วในชีวิตประจำวัน ก็จะเข้าใจวิธีการและนำเคล็ดลับไปปรับใช้กับตัวเองได้มากกว่าคนที่ไม่เคยมีทักษะ ไม่ค่อยได้พูดต่อหน้าคนหมู่มากมาก่อน
ต่อมาดิฉันจึงทดลองคิดค้นหลักสูตรขึ้นเอง เน้นการฝึกปฏิบัติแบบเข้มข้น ผู้เข้าอบรมทุกคนต้องลุกขึ้นนำเสนอตลอดเวลา ตามโจทย์ที่ได้รับ ตั้งแต่การนำเสนอเรื่องของตัวเอง เรื่องใกล้ตัว
ความประทับใจในชีวิต หรือสิ่งของบางอย่างที่คุ้นเคย ก่อนจะนำไปสู่เรื่องไกลตัว
ที่จำเป็นต่อการทำงานมากขึ้น
เช่นการนำเสนอข่าวสาร แนวคิด นำเสนอโครงการ หรือแผนงานต่างๆหรือพัฒนาไปจนถึงขั้นการบรรยายพิเศษ
การกล่าวสุนทรพจน์ หรือปาฐกถา
สุดแท้แต่โอกาสและเส้นทางของแต่ละคน
วิธีการฝึกพูดจากเรื่องใกล้ตัว
ออกไปจนไกลตัวนี่เอง ทำให้ดิฉันเห็นว่า
เป็นแนวทางที่ทุกคนสามารถนำไปลองฝึกฝนดูได้นะคะ
เพราะคุณจะได้เริ่มฝึกความมั่นใจในการพูดไปพร้อมๆ กับฝึกเรื่องเนื้อหาที่จะพูดด้วย หากเริ่มต้นด้วยเรื่องที่คุณเองก็ไม่เข้าใจอย่างลึกซึ้ง ไม่รู้สึกอย่างแรงกล้าที่จะพูดหรือแสดงความคิดเห็น คุณก็จะขาดพลังในการพูดเรื่องนั้นๆ และรู้สึกไม่มั่นใจ ประหม่า
และนำเสนอได้ไม่ดีพอ
เมื่อไม่ประสบความสำเร็จ คุณก็จะรู้สึกเข็ดขยาดต่อการพูดในที่สาธารณะไปตลอด
นอกจากการฝึกฝนจากเรื่องใกล้ๆตัว เรื่องที่เราเข้าใจดี
หรือเรื่องที่มีความรู้สึกอย่างแรงกล้าที่จะพูดแล้ว ก็ต้องฝึกฝนการใช้เสียง วิธีการออกเสียงอย่างถูกต้อง ชัดเจน ทรงพลัง
ตลอดจนบุคลิกภาพที่น่าประทับใจด้วย เช่นการนั่ง ยืน หรือเดิน ที่สง่าผ่าเผย การสบสายตาผู้ฟัง มีรอยยิ้มที่เหมาะสมกับเรื่องราวที่พูด การใช้มือและอุปกรณ์ประกอบอย่างเป็นธรรมชาติไม่ดูเหมือนเป็นสิ่งแปลกปลอม เวลาพูดก็จะต้องมีจังหวะจะโคน ควบคุมระดับเสียงให้เหมาะสมกับเรื่องและสถานที่
ควบคุมเวลาในการพูดให้อยู่ในประเด็นและความยาวที่กำหนด
นอกจากนี้ยังจะต้องดูแลเรื่องบุคลิกภาพภายนอก
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการแสดงภาษากายด้วยสำหรับความมั่นใจ ซึ่งหลายคนบอกว่าสร้างยากนักหนานั้น มีเคล็ดลับอยู่แค่ 5 ข้อเท่านั้นเองค่ะ
เคล็ดลับข้อแรก มั่นใจด้วยการเตรียมความพร้อมมาเป็นอย่างดี
ความไม่พร้อม หรือความไม่รู้ ทำให้เกิดความไม่มั่นใจค่ะ
ถ้าไม่รู้ว่าจะพูดอะไร
ไม่เข้าใจเรื่องที่พูด
ก็จงทำการบ้านให้หนัก เตรียมข้อมูลให้มากที่สุด มากกว่าที่จะต้องใช้
และทำการบ้านด้วยว่างานที่จะต้องไปพูดนั้นเป็นงานอะไร ใครจัด ใครฟัง และคาดหวังอะไรจากเรา เพื่อจะได้เตรียมตัวให้ถูกกาลเทศะ ไม่ทำให้ผู้เชิญต้องผิดหวัง
เคล็ดลับข้อที่
2 มั่นใจด้วยสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง
คงไม่ดีแน่ถ้าท่านใช้ร่างกายอย่างหักโหม อดหลับอดนอนมาก่อนถึงวันที่จะต้องพูดในที่สาธารณะ หน้าตาที่ทรุดโทรม เสียงที่แหบพร่า และพลังงานที่อ่อนล้าจะทำให้
คุณขาดความมั่นใจไปแทบหมด และสิ่งที่สุดวิสัยอย่างยิ่งคือการเจ็บป่วยกะทันหันก่อนถึงวันงาน ดังนั้น
หากจะเอาดีด้านการพูด
ก็จงดูแลสุขภาพร่างกายให้ดีอย่างสม่ำเสมอค่ะ
เคล็ดลับข้อที่
3 มั่นใจด้วยการแต่งกายดี
เนื่องจากการพูดในที่สาธารณะ
หรือไปออกรายการโทรทัศน์ เราจะต้องอยู่ท่ามกลางสายตาของคนหมู่มาก ดังนั้น
จงให้ความใส่ใจในรายละเอียดของการแต่งกาย
ตั้งแต่การแต่งกายแบบไหนที่เจ้าภาพระบุไว้ในบัตรเชิญ หรือผู้จัดงานต้องการให้แต่งกายตามสีหลักของงาน
หรือเข้ากับฉากโทรทัศน์อย่างไรหรือไม่ การพูดของท่านต้องยืนหรือนั่ง(ควรรู้แม้กระทั่งนั่งเก้าอี้แบบไหนด้วยซ้ำ
โดยเฉพาะสุภาพสตรี ที่บางทีใส่กระโปรงคลุมเข่าแบบสุภาพแล้ว แต่ไปเจอโซฟาหรือเก้าอี้ที่นั่งแล้วกระโปรงเลิกขึ้นไปถึงขาอ่อน แบบนี้ก็เสียความมั่นใจ
ต้องนั่งกระมิดกระเมี้ยนไปตลอดการพูด) ความสะอาดเรียบร้อยของเสื้อผ้าก็เช่นกัน
เพราะเป็นตัวบ่งบอกว่าท่านดูแลตัวเองดีแค่ไหน ส่วนการแต่งหน้าทำผม ก็เป็นองค์ประกอบอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญมากๆเพราะ
จะทำให้ท่านมั่นใจหรือสูญเสียความมั่นใจก็ได้
เคล็ดลับข้อที่
4 มั่นใจจากจินตนาการ สู่ความมั่นใจในการพูด
อยากให้ผู้พูดที่ประหม่า แข้งขาสั่น
เหงื่อแตก มือเย็นไปหมด เวลาที่จะต้องพูดต่อหน้าคนหมู่มาก ใช้จินตนาการเป็นตัวช่วยค่ะ เรื่องนี้ไม่ได้เพ้อเจ้อ แต่เป็นเคล็ดลับสำคัญของบรรดานักแสดงมืออาชีพ
และนักพูดที่มีชื่อเสียงมากมาย หากเราเชื่อว่าเรามั่นใจ หรือแสดงท่าทางที่มั่นใจออกมา ร่างกายของเราจะมีปฏิกิริยาตอบสนอง
และสั่งการให้เรามั่นใจจริงๆ ดังนั้น หากเราเชื่อว่าเราทำได้ เราพูดต่อหน้าคนหมู่มากได้ดี
และทุกคนต้องการฟังเราพูด
เราก็จะเริ่มต้นพูดจากความรู้สึกเช่นนั้นได้เอง
เคล็ดลับข้อที่
5 มั่นใจจากการฝึกฝนจนชำนาญ
เมื่อทำตามเคล็ดลับทั้ง 4 ข้อมาแล้วข้อสุดท้ายนี้เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งค่ะ นั่นก็คือการฝึกฝน ฝึกฝน และฝึกฝน
จนเกิดความชำนาญ เพราะไม่มีทักษะความสามารถใดได้มาโดยไม่ฝึกฝน เหมือนคนที่จะฝึกว่ายน้ำให้เป็น มีหนทางเดียวก็คือต้องลงน้ำ จะพูดให้ได้ดี ก็เช่นกัน เราต้องฝึกพูด และหาโอกาสพูดต่อหน้าคนหมู่มากอยู่เสมอนั่นเองค่ะ
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////จูบอย่างไรให้อีกฝ่ายประทับใจมากที่สุดด้วยเทคนิคการจูบอย่างมืออาชีพ
การแสดงความรัก การสร้างความประทับใจให้กับคนที่ตัวเองรัก
ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย มักจะมีวิธีการแสดงความรักที่แตกต่างกันออกไป
บางคนเลือกที่จะพูดคำว่า “รัก” เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความรู้สึกของตัวเองให้อีกฝ่ายนั้นได้รับรู้
แต่บางคนนั้นก็เลือกที่จะกระทำด้วยภาษากายเป็นการแสดงออกที่ลึกซึ้งและแสดงถึงความรักได้ดีมากยิ่งขึ้น
และสำหรับความรักในวัยหนุ่มสาว
บางครั้งอาจจะไม่ใช่แค่วัยหนุ่มสาวเท่านั้น
การแสดงออกของความรักสามารถทำได้ทุกวัยด้วยการ “จูบ” การจูบของแต่ละคู่รักนั้นไม่เหมือนกัน ความรู้สึกที่ทั้งคู่มีต่อกันนั้นสามารถแสดงออกได้ด้วยการจูบ
เป็นการแสดงความรักด้วยภาษากายที่สามารถสร้างความประทับใจให้อีกฝ่ายไม่รู้ลืม… สำหรับจูบแรกของคู่รัก
เรามาดูกันว่าแบบไหนที่สามารถทำให้อีกฝ่ายประทับใจได้มากที่สุด
1. จูบเบาๆ ที่หน้าผาก สำหรับความรักที่กำลังสดใส
กำลังใช้คำว่าแฟนไปเรื่อยๆ ทุกอย่างในชีวิตนั้นดูมีความสุขและเป็นสีชมพูไปเสียหมด
การที่ฝ่ายชายจูบหน้าผากฝ่ายหญิงเบาๆ
แสดงได้ถึงความรักและเอ็นดูที่เขามีต่อฝ่ายหญิง
ฝ่ายหญิงจะรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยมากที่สุด
สำหรับการจูบครั้งแรกควรแสดงความรักแบบที่ไม่ต้องหวือหวามากนัก
2. จูบที่แก้ม หรือบริเวณมุมปากแบบเบาๆ
การจูบที่สร้างความประทับใจ อาจจะไม่ใช่การจูบที่เร้าร้อนเสมอไป
เพราะว่าบางครั้งฝ่ายหญิงอาจจะต้องการความอบอุ่น นุ่มลึก
จากชายหนุ่มที่ตัวเองรักมากกว่าการใช้ความรุนแรงในการจูบ หนุ่มๆ
คนไหนที่อยากสร้างความประทับใจให้ฝ่ายหญิง
ลองบอกรักเธอด้วยวิธีการจูบที่แก้มหรือว่ามุมปากเบาๆ แล้วทิ้งไว้สักครู่
พร้อมกับกระซิบบอกว่ารักเธอเบาๆ
เพียงเท่านี้เธอก็มีความสุขและประทับใจกับรอยจูบของคุณไปอีกนาน
3. จูบแบบเร่าร้อน
เมื่อถึงเวลาที่ต้องแสดงความรักฉันท์สามีภรรยา การจูบแบบน่ารักๆ อาจจะไม่ค่อยประทับใจมากนัก
หนุ่มสาวหลายคนนั้นหลงใหลกับการจูบแลกลิ้นแบบเร่าร้อน การจูบแบบลึกซึ้งขนาดนี้
ถ้าอยากให้อีกฝ่ายประทับใจลองใช้วิธีการค่อยเป็นค่อยไปมากกว่าการบุกหรือจู่โจมเพื่อจูบ
ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติจะดีกว่า
เหตุผลที่ต้องจูบ ส่วนใหญ่มาจากความรักที่ต้องการแสดงออกมากกว่า
การจูบเป็นหนทางแสดงออกของความรักที่ไม่ผิด
แต่ต้องไม่โจ่งแจ้งหรือทำในที่ที่มีผู้คนพลุกพล่าน
ควรทำในที่ส่วนตัวที่ที่มีแต่คุณและคนที่คุณรักเท่านั้น
การสร้างความประทับใจในการจูบเป็นเรื่องไม่ยาก
เพราะเชื่อว่าพลังแห่งความรักไม่ว่าจะจูบแบบไหนก็ทำให้สุขใจได้เสมอ…
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
เปิดตำรา วิธีชงชาอย่างไรให้หอมอร่อยด้วยขั้นตอนแบบง่ายๆ
ชา เป็นหนึ่งในเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนาน ซึ่งหลายๆ
คนเชื่อว่าการดื่มชานั้นจะช่วยให้สุขภาพดี ทำให้ในปัจจุบันมีชาต่างๆ
มากมายวางขายอยู่ในท้องตลาดทั้งในรูปแบบของใบชา ชาผงพร้อมชง
หรือชาซองสำเร็จรูปที่ต้องนำมาแช่ในน้ำร้อนก่อน เป็นต้น ซึ่งชาที่เชื่อว่าดีที่สุดก็คือ
ชาที่ทำการชงชาแบบใบชานั่นเอง
ซึ่งการชงชาแบบใบชานั้นต้องมีวิธีการชงชาที่ถูกต้องเพื่อให้รสชาติของชากลมกล่อม
และวิธีการชงนั้นก็จะแตกต่างกันออกไปตามชนิดของชา ชาที่ได้รับความนิยมในไทย เช่น
ชาอูหลงหอม ชาเขียว เป็นต้น
ชาอูหลงหอม มีหลักการในการชงอยู่ง่ายๆ ดังนี้
1. น้ำที่ใช้ในการชงชา ควรเป็นน้ำที่สะอาดหรือน้ำกรองที่ต้มจนเดือด
2. ใช้น้ำร้อนกลั้วกาน้ำชา และอุปกรณ์ในการดื่มชาก่อนใช้ทุกครั้งอย่างน้อย
1 ครั้ง เพื่อให้มีอุปกรณ์เหล่านี้มีอุณหภูมิเท่ากับน้ำที่จะใช้ในการชงชา
ซึ่งจะทำให้ได้ความหอมและรสชาติของชามากยิ่งขึ้น
3. ใส่ใบชาอูหลง 2-3 ช้อนชาต่อน้ำที่ใช้ในการชง150-200 มิลลิลิตร(CC) ลงในกาน้ำชาที่ว่างเปล่า
4. ในขั้นตอนที่ 4 นี้อาจจะมีข้อแตกต่างกันในวิธีการชงชาคือ
• ถ้าเป็นชาอูหลงตุ้งติ้งอูหลง, ชาอูหลงก้านอ่อน, ชาอูหลงเบอร์ 12, ชาเถกวนอิม, ชาสี่ฤดู และชาจาเป่าหลงในขั้นตอนต่อไปจะทำการเติมน้ำร้อนให้ท่วมใบชา
แล้วเทน้ำร้อนออกทันที ก่อนที่จะทำการเติมน้ำร้อนให้เต็มกาอีกครั้ง
แล้วแช่ไว้ประมาณ 1 นาที หรือ 5 นาทีหากต้องกาดื่มชาแบบเย็น
• ถ้าหากเป็นชาอูหลงจากกดอกหอมหมื่นลี้หรือดอกมะลิ
ไม่ควรล้างใบชาก่อนเพราะชาพวกนี้มีดอกที่เล็ก อาจจะหายไประหว่างการล้างได้
เราจึงทำการเติมน้ำร้อนให้เต็มกาทันทีก่อนแช่ไว้ประมาณ 1 นาที หรือ 5
นาทีหากต้องกาดื่มชาแบบเย็น
5. รินน้ำชาออกจากกาน้ำชาให้หมด ไม่ควรแช่ทิ้งไว้
ซึ่งน้ำชาที่รินออกมาสามารถดื่มได้เลยทั้งหมด ส่วนใบชาที่ชงแล้วสามารถพักไว้ในกาได้
และยังสามารถใช้ชงได้อีก 3-4 ครั้งหรือเก็บได้ไม่เกิน 1 วันจากการชงครั้งแรก
เพราะรสชาติชาจะไม่ดีเหมือนเดิมนั่นเอง
ถ้าหากว่าชามีลักษณะเป็นซองที่ต้องแช่น้ำร้อน
สามารถทำการชงได้โดยมีขั้นตอน คือ ใช้ชา 1 ซอง แช่ในน้ำร้อน 80-90 องศา ประมาณ 250
มิลลิลิตร นาน 3 นาที แล้วนำถุงชาออก ส่วนถุงชานั้นสามารถนำมาแช่ซ้ำนาน 3
นาทีได้อีก 1 รอบหรืออาจจะทิ้งไปเลยก็ได้เช่นกัน
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ประโยชน์ของอาหารเช้า
ปัจจุบันการดำเนินชีวิตในแต่ละวันที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบ
หลายคนอาจจะมองข้ามความสำคัญของอาหารเช้าและอาจทำให้หลายคนหลงลืมทาน
"อาหารเช้า"
ไปด้วยความตั้งใจเพราะมองว่าการรับประทานอาหารตอนเช้าเป็นเรื่องที่เสียเวลา
จะมีเพียงไม่กี่คนที่ให้ความสำคัญกับอาหารเช้า วันนี้เราก็เลยนำเอาความรู้ความเข้าใจเล็ก
ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับความสำคัญที่คุณก็นึกไม่ถึงว่า อาหารเช้าสําคัญอย่างไรกันค่ะ
แล้วคุณก็จะหันมาให้ความสำคัญกับอาหารเช้าที่คุณเคยมองข้ามได้อย่างง่ายดาย
ประโยชน์ของอาหารเช้า
ช่วยให้ความจำดี
มีการวิจัยพบว่า การรับประทานอาหารเช้ามีส่วนเพิ่มประสิทธิภาพการเรียน
การทำงาน ทำให้ระบบความจำ ทักษะการเรียนรู้ และอารมณ์ดีขึ้นด้วยค่ะ
แต่หากใครไม่ทานอาหารเช้าจะมีสมาธิน้อยลงและสมองก็ทำงานได้ไม่เต็มที่
ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานได้
โดยคนที่รับประทานอาหารเช้าจะมีภาวะผิดปกติของฮอร์โมนอินซูลิน
หรือที่เรียกว่าภาวะดื้อต่ออินซูลินซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเบาหวานนั้นลดลงถึง 35-50% เลยทีเดียว
ช่วยในการควบคุมน้ำหนักได้
อาหารเช้าช่วยควบคุมโรคอ้วนและน้ำหนักได้เป็นอย่างดีค่ะ
นั่นเพราะจากมื้อดึกจนถึงเช้าวันใหม่เราอดอาหารมานานเกือบ 12 ชั่วโมง และหากเรายิ่งไม่ทานอาหารเช้าเข้าไปอีกจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำลง
จนไปเพิ่มแนวโน้มการรับประทานอาหารที่มีพลังงานและไขมันสูงในมื้อเที่ยงมากขึ้นและนี่ก็เป็นสาเหตุให้มีน้ำหนักเกินและโรคอ้วนได้อย่างไม่รู้ตัวอีกด้วย
ลดความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดโรคหัวใจ
ผลการวิจัยจากสมาคมแพทย์โรคหัวใจในอเมริกาเมื่อปี 2003 พบว่า
การรับประทานอาหารเช้าอย่างสม่ำเสมออาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเส้นเลือดสมองและโรคหัวใจได้ด้วย
เพราะในตอนเช้าเลือดของเรามีความเข้มข้นสูงและทำให้เส้นเลือดที่ส่งไปเลี้ยงสมอง
หรือหัวใจอุดตันได้ แต่ถ้ารับประทานอาหารเช้าเข้าไปจะช่วยให้ระดับความเข้มข้นในเลือดเจือจางลงด้วย
ช่วยลดโอกาสเกิดโรคนิ่ว
การไม่รับประทานอาหารนานกว่า 14
ชั่วโมงจะทำให้คอเลสเตอรอลในถุงน้ำดีจับตัวกันนาน หากนาน ๆ
ไปสิ่งที่จับตัวกันนั้นจะกลายเป็นก้อนนิ่ว แต่หากเราทานอาหารเช้าเข้าไปล่ะก็
มันจะไปกระตุ้นให้ตับปล่อยน้ำดีออกมาละลายคอเลสเตอรอลที่จับตัวกันอยู่ได้
ช่วยพัฒนาสมอง
สำหรับเด็ก ๆ การอดอาหารเช้าเป็นประจำ
อาจทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารไม่เพียงพอส่งผลให้ร่างกายไม่แข็งแรง
การเจริญเติบโตไม่เป็นไปตามเกณฑ์และยังส่งผลต่อสติปัญญา ทำให้ขาดสมาธิ
ส่งผลเสียในระยะยาวอีกด้วย
ทีนี้เราก็รู้แล้วว่าอาหารเช้ามีประโยชน์มากมายขนาดไหน ยังไงก็จะต้องจัดสรรเวลาที่เร่งรีบและมีน้อยนิดนี้
แบ่งออกมาเพื่อรับประทานอาหารมื้อเช้าของเรากันแล้ว
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
5 วิธีดูแลสุขภาพในการทำงานหน้าจอคอมฯ
5 วิธีดูแลสุขภาพ ในการทำงานหน้าจอคอมฯ ที่คุณสามารถทำตามได้ง่ายๆ
เพื่อช่วยให้คุณทำงานได้ดีและมีประสิทธิภาพเพิ่มมากยิ่งขึ้น
1.
อย่าลืมกระพริบตาเวลานั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ อย่าลืมกระพริบตา
เพราะการพริบตาจะช่วยให้ดวงตามีน้ำหล่อเลี้ยงไม่ให้ดวงตาแห้ง
หลายปัญหาเกี่ยวกับดวงตาก็เกิดจากการ นั่งหน้าจอคอมฯ นานๆ โดยไม่มีการกระพริบตา
ดังนั้นอย่าลืมกระพริบตา หรือเพ่งเล็งหน้าจอคอมฯ นานเกินไป
2.
อย่าลืมดื่มน้ำเป็นที่เข้าใจกันอยู่แล้วว่าน้ำนั้นมีความสำคัญกับร่างกายของคนเรา
ยิ่งมีการทำงานที่ต้องใช้สมองและร่างกายด้วยแล้ว น้ำจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก
เพราะมันจะทำหน้าที่ในการหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย อย่างเช่น สมอง
ดังนั้นเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้ดียิ่งขึ้นอย่าลืมดื่มน้ำกันนะจ๊ะ
3.
อย่าลืมว่าคุณนั่งทำงานในท่าที่ถูกต้องหลายครั้งหลังจากการทำงานแล้ว
หลายคนรู้สึกปวดเมื่อยร่างกายโดยเฉพาะส่วนหลังหรือต้นคอ
เหตุผลส่วนหนึ่งคงหนีไม่พ้นจากการนั่งทำงานในท่าที่ผิด ตัวอย่างเช่น การนั่งเอนหลังมากเกินไป
ซึ่งเป็นการนั่งไม่ถูกต้อง
การนั่งในลักษณะนี้นอกจากจะทำให้ปวดเมื่อยตามร่างกายแล้ว
ยังลดประสิทธิภาพในการทำงานของเราด้วย ท่านั่งที่ถูกต้องคือการนั่งตัวตรง
หากนั่งอยู่หน้าจอคอมฯ เพื่อพิมพ์งานต่างๆ
ควรให้คีย์บอร์ดและเม้าส์อยู่ในระดับที่พอเหมาะกับแขนและมือที่ยื่นออกไป ไม่สูง
ต่ำ หรือ ไกลจากตัวเรามากนัก แค่นี้ก็ช่วยไม่ให้ปวดเมื่อยได้พอสมควร
4.
อย่าลืมทำความสะอาดความสะอาดก็มีส่วนสำคัญที่ไม่ควรปล่อยปละละเลย
หากคุณเห็นฝุ่นตามอุปกรณ์คอมพิวเตอร์หรือในห้อง
ควรทำความสะอาดให้หมดจดเพื่อสุขภาพที่ดีในการทำงาน เพราะฝุ่นละอองเหล่านั้นอาจนำมาซึ่งเชื้อโรคหรือแบคทีเรียต่างๆ
ที่จะส่งผลให้คุณมีโรคภัยไข้เจ็บได้
และที่สำคัญมันยังลดบรรยากาศการทำงานในห้องของคุณด้วย
5.
อย่าลืมลุกขึ้นจากเก้าอี้บ้างไม่ว่าคุณจะมีเหตุผลที่ต้องทำงานหนักและต้องนั่งนานแค่ไหน
ก็ไม่ควรที่จะลืมลุกขึ้นจากเก้าอี้บ้าง เดินผ่อนคลายยืดเส้นยืดสาย
หรือสามารถนั่งบนเก้าอี้ไปพร้อมกับยืดเส้นยืดสายไปด้วยก็ได้
เพื่อช่วยให้เลือดหมุนเวียน
ส่งผลให้คุณมีความสามารถหรือประสิทธิภาพในการทำงานเพิ่มมากยิ่งขึ้น
มันช่วยได้จริงๆ นะ แถมยังผ่อนคลายไม่ให้ตึงเครียดมากเกินไปได้อีกด้วย
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
14
แบบปลั๊กไฟที่ใช้ทั่วโลก แต่ละประเทศใช้ปลั๊กไฟแบบไหนบ้าง ?
ปลั๊กไฟ
แนะนำแบบปลั๊กไฟที่ใช้ในปัจจุบันจากทั่วโลก ประเทศไหนใช้ปลั๊กไฟแบบไหนบ้าง
มาดู 14 แบบปลั๊กไฟจากทั่วโลกที่ใช้ในประเทศต่าง ๆ กันค่ะ
ถึงแม้ว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าในหลาย ๆ
ประเทศจะเป็นยี่ห้อและรุ่นเดียวกัน
แต่ก็ใช่ว่าจะสามารถใช้ปลั๊กไฟและเต้าเสียบร่วมกันได้หมด
เนื่องจากในแต่ละประเทศจะมีการจ่ายไฟฟ้าไปตามบ้านเรือนในกำลังที่ต่างกัน
จึงทำให้ปลั๊กไฟของเครื่องใช้ไฟฟ้าและเต้าเสียบในแต่ละประเทศแตกต่างกันไปด้วย
ซึ่งปลั๊กไฟที่ใช้กันอยู่ทั่วโลกในปัจจุบันแบ่งได้เป็น 14 ประเภท ดังนี้
1. Type
A
- ลักษณะ : เป็นปลั๊กแบนสองขา
ขาของปลั๊กชนิดนี้ในอเมริกาจะไม่เท่ากัน
ทำให้เสียบกับเต้าเสียบได้เพียงหนึ่งด้านเท่านั้น แต่ในญี่ปุ่นรวมถึงไทย ขาทั้ง 2
ข้างของปลั๊กชนิดนี้จะเท่ากัน ทำให้เสียบได้ 2 ด้าน
ฉะนั้นปลั๊กสองขาที่นำไปจากไทยและญี่ปุ่นจึงสามารถใช้ได้ในอเมริกา
แต่ปลั๊กจากอเมริกาจะนำมาเสียบในไทยไม่ได้
- ประเทศที่ใช้ :
กลุ่มประเทศในแถบอเมริกาเหนือ (North America) และอเมริกากลาง (Central
America) ญี่ปุ่น
ไทย มาเลเซีย เวียดนาม ลาว ใต้หวัน จีน เกาหลีเหนือ
2. Type
B
- ลักษณะ : ปลั๊กไฟไทป์ B หรือที่รู้จักในชื่อ ปลั๊กสามขา
ใช้กันแพร่หลายเช่นเดียวไทป์ A ลักษณะคล้ายกับปลั๊กสองขา
แต่จะมีขาสายดินเพิ่มขึ้นมาด้านบนระหว่างขาเสียบทั้งสองขา
เวลาไฟรั่วก็จะรั่วลงดินผ่านขาที่สาม โดยขาปลั๊กสองขาด้านล่างจะแบน ส่วนขาบนจะกลมและยาวกว่า
- ประเทศที่ใช้ :
กลุ่มประเทศในแถบอเมริกาเหนือ (North America) และอเมริกากลาง (Central
America) ญี่ปุ่น
ไทย มาเลเซีย เวียดนาม ลาว ใต้หวัน จีน เกาหลีเหนือ
3. Type
C
- ลักษณะ : ปลั๊กกลมสองขา
ใช้ได้กับเต้าเสียบที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางวงของรูระหว่าง 4.0-4.8 มิลลิเมตร
ระยะห่างของรูทั้งสองอยู่ที่ 19 มิลลิเมตร อย่างเช่น เต้าเสียบสำหรับไทป์ E
ไทป์
F ไทป์
J ไทป์
K และ
ไทป์ N
- ประเทศที่ใช้ :
ใช้กันแพร่หลายในยุโรปยกเว้นประเทศอังกฤษและประเทศไอร์แลนด์ แถบเอเชียก็นิยมใช้กัน
อย่างเช่น จีน ไทย อินโดนีเซีย อิหร่าน ภูฏาน พม่า ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย เกาหลีใต้
และเกาหลีเหนือ
4. Type
D
- ลักษณะ :
ปลั๊กกลมสามขาทำมุมกันเป็นรูปสามเหลี่ยม โดยสองขาล่างมีเส้นผ่านศูนย์กลางเท่ากัน
ส่วนขาด้านบนจะมีขนาดใหญ่กว่า สามารถใช้ร่วมกันกับไทป์ M ได้
โดยเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีขนาดใหญ่กว่าจะใช้ปลั๊กไทป์ M แทน
- ประเทศที่ใช้ : บังกลาเทศ อินเดีย
นามิเบีย ศรีลังกา เนปาล ภูฏาน ฮ่องกง กาน่า จอร์แดน มาดากัสการ์ พม่า ปากีสถาน
การ์ต้า แอฟริกาใต้ และแทนซาเนีย
5. Type
E
- ลักษณะ : มีลักษณะเป็นปลั๊กกลมสองขา
เส้นผ่าศูนย์กลางของขาปลั๊กอยู่ที่ 4.8 มิลลิเมตร และอยู่ห่างกัน 19 มิลลิเมตร
ด้านบนของขาปลั๊กจะมีรูใช้เชื่อมต่อกับขาปลั๊กของเต้าเสียบ
ทั้งปลั๊กและเต้าเสียบของไทป์ E จะมีรูปร่างกลม สามารถใช้กับไทป์ F ได้
- ประเทศที่ใช้ : ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม
สโลวาเกีย ตูนีเซีย เดนมาร์ก กรีนแลนด์ โปแลนด์ คองโก ลาว มองโกเลีย
6. Type
F
- ลักษณะ : ไทป์ F มักจะรู้จักกันในชื่อปลั๊ก Schuko
เป็นปลั๊กกลมสองขา
เส้นผ่าศูนย์กลางของขาปลั๊กอยู่ที่ 4.8 มิลลิเมตร และอยู่ห่างกัน 19 มิลลิเมตร
มีคลิปกราวด์อยู่ด้านข้างทั้ง 2 ข้าง สามารถใช้ได้กับเต้ารับไทป์ E และไทป์ F
- ประเทศที่ใช้ : เยอรมนี ออสเตรีย
เนเธอร์แลนด์ สเปน สวีเดน อียิปต์ เดนมาร์ก นอร์เวย์ ฟินแลนด์ กรีซ อิตาลี
เกาหลีใต้ เกาหลีเหนือ เวียดนาม ไทย ภูฏาน
7. Type
G
- ลักษณะ : ปลั๊กสามขารูปสี่เหลี่ยม
ส่วนปลายของขาปลั๊กจะเป็นรูปสามเหลี่ยม โดยขาทั้งสองข้างด้านล่างจะอยู่ในแนวนอน
ส่วนขาที่สามด้านบนจะอยู่ในแนวตั้ง
- ประเทศที่ใช้ : อังกฤษ ไอร์แลนด์
แทนซาเนีย คูเวต การ์ต้า สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ฮ่องกง ศรีลังกา ภูฏาน กัมพูชา พม่า
สิงคโปร์
8. Type
H
- ลักษณะ : ปลั๊กสามขาขาแบน
โดยทั้งตัวปลั๊กและเต้าเสียบจะเป็นรูปวงกลม
รูของเต้าเสียบจะเป็นวงกลมและมีช่องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ผ่ากลาง
ซึ่งจะเป็นที่เสียบของขาปลั๊กนั่นเอง
- ประเทศที่ใช้ :
มีใช้แค่ที่ประเทศอิสราเอลเท่านั้น
9. Type
I
- ลักษณะ : ปลั๊กแบนสามขา
โดยสองขาด้านล่างจะทำมุมเข้าหากันเป็นรูปตัว V ส่วนสายดินด้านบนจะตั้งตรง
นอกจากนั้นแล้วปลั๊กไทป์ I ยังมีแบบสองขาอีกด้วย
และปลั๊กจากออสเตรเลียก็สามารถใช้ได้กับเต้าเสียบในจีนเช่นกัน
- ประเทศที่ใช้ : ออสเตรเลีย
นิวซีแลนด์ ปาปัวนิวกินี อาร์เจนตินา อุรุกวัย จีน
10.
Type J
- ลักษณะ : ปลั๊กกลมสามขา
ถึงแม้ปลั๊กไทป์ J มีลักษณะคล้ายกับปลั๊กไทป์ N แต่ก็ไม่สามารถเสียบกับเต้าเสียบไทป์ N
ได้
เนื่องจากขาด้านบนที่เป็นสายดินจะอยู่ห่างจากจุดศูนย์กลางของปลั๊กมากกว่าไทป์ N
ปลั๊กไทป์
C แต่ปลั๊กไฟแบบนี้สามารถใช้กับเต้าเสียบไทป์
J ได้
- ประเทศที่ใช้ : สวิตเซอร์แลนด์
จอร์แดน มัลดีฟส์ มาดากัสการ์ ลิกเตนสไตน์
11.
Type K
- ลักษณะ : ปลั๊กจะมีสามขา
โดยขาที่เป็นสายดินจะอยู่ด้านล่างเป็นรูปครึ่งวงกลม ส่วนอีกสองขาด้านบนจะเป็นวงกลม
ปลั๊กไทป์ K จะคล้ายกับไทป์ F แต่จะแตกต่างกันที่ปลั๊กไทป์ F จะมีคลิปกราวด์แทนสายดิน
- ประเทศที่ใช้ : เดนมาร์ก กรีนแลนด์
มาดากัสการ์ มัลดีฟ บังกลาเทศ
12.
Type L
- ลักษณะ :
ปลั๊กลมสามขาเรียงกันในแนวตั้ง โดยขาตรงกลางจะเป็นสายดิน
แต่ขาละมีเส้นผ่าศูนย์กลางอยู่ที่ 4 มิลลิเมตร และห่างกัน 5.5 มิลลิเมตร
ปลั๊กจะมีสองแบบคือ แบบ 10 แอมป์ และแบบ 16 แอมป์
- ประเทศที่ใช้ : อิตาลี ชิลี มัลดีฟส์
อุรุกวัย
13.
Type M
- ลักษณะ :
ปลั๊กกลมสามขาทำมุมเป็นรูปสามเหลี่ยม คล้ายกับไทป์ D แต่ขาที่สามด้านบนของไทป์ M จะมีขนาดใหญ่กว่า
ส่วนใหญ่แล้วไทป์นี้จะผลิตออกมาใช้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่ในประเทศที่ใช้ปลั๊กไทป์
D
- ประเทศที่ใช้ : แอฟริกาใต้ อินเดีย
อิสราเอล ภูฏาน ศีลังกา มาเก๊า สิงคโปร์ มาเลเซีย
14.
Type N
- ลักษณะ : ปลั๊กกลมสามขา
โดยขาที่สามด้านบนจะเป็นสายดิน แบ่งเป็น 2 แบบ คือ แบบ 10 แอมป์
ซึ่งสองขาด้านล่างจะมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 4 มิลลิเมตร และแบบ 20 แอมป์
ซึ่งสองขาด้านล่างจะมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 4.8 มิลลิเมตร เต้าเสียบของไทป์ N ใช้ได้กับปลั๊กไทป์ C
- ประเทศที่ใช้ : บราซิลและแอฟริกาใต้
คราวนี้รู้กันแล้วใช่ไหมคะว่า
มีปลั๊กไฟแบบไหนบ้านและแต่ละประเทศใช้ปลั๊กไฟแบบไหน
ก่อนเดินทางหรือจำเป็นต้องย้ายไปอยู่ต่างแดน
ก็อย่าลืมนำเต้าเสียบหรือเตรียมปลั๊กไฟไปให้เรียบร้อยนะคะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น